วันอาทิตย์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

กินอาหารอย่างไรให้ถูกต้องตามฤดู


ในปีหนึ่งปีของประเทศไทยมี ฤดู ได้แก่ ฤดูร้อน ฤดูหนาว ฤดูฝน การกินก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องทีสำคัญ และต้องเลือกกินให้ตรงตามฤดูเพื่อความผ่อนคลายร่างกายของเราด้วย 
การกินในฤดูร้อน
ฤดูร้อนเป็นฤดูที่มีอากาศอบอ้าว เราควรเลือกกินอาหารที่ให้ความเย็นแก่ร่างกายของเรา ซึ่งควรเลือกอาหารที่ให้ความเย็น ได้แก่ ขนมหวานใส่น้ำแข็งป่น น้ำแข็งใส และ ไอศกรีม และควรกินผักให้มากขึ้น ลดเนื้อสัตว์ให้น้อยลง อาหารที่ใช้น้ำมันทอดก็ควรลดลง อย่างผัดๆ ทอดๆ หรือควรกินอาหารที่มีน้ำมันน้อยที่สุด เพราะนอกจากจะทำให้ร้อนแล้วยังทำให้เกิดไขมันอุดตันอีกด้วย ส่วนผลไม้ก็ควรเลือกแบบที่ให้ความชุ่มฉ่ำแก่ร่างการของเรา เช่น แตงโม ส้ม แตงกวา และยังช่วยขับปัสสาวะอีกด้วย

การกินในฤดูฝน
พออากาศปกติเราสามารถทานเนื้อสัตว์ได้เยอะกว่าเดิมไม่ใช่ว่าเยอะเกินไป ควรกินปลาให้มากๆเพราะจำทำให้กระเพาะทำงานไม่หนักเกินไป ผักสด ผลไม้ควรกินอย่างสม่ำเสมอ

การกินในฤดูหนาว
พอมีอากาศหนาวควรเลือกอาหารที่สร้างความอบอุ่นแก่ร่างกายของเรา เช่นข้าวต้ม โจ๊ก แกงจืด หรือแกงที่มีรสชาติไม่เผ็ดจนเกินไป และควรรับประทานประเภทโปรตีน เช่น นม ไข่ เนื้อสัตว์ ถั่วเหลือง และปลา ถ้ามีอากาศหนาวจัดสามารถดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้บ้างแต่ไม่ใช่ว่าเยอะจนเกินไป เพราะมันไม่ดีต่อสุขภาพ 
ในหนึ่งวันเราควรกินกี่มื้อดี
เราไม่จำเป็นต้องยึดหลักว่าต้องทานอาหารเฉพาะ มื้อเช้า มื้อกลางวัน มื้อเย็น แต่ควรรับสารอาหารให้เพียงพอแก่ร่างกาย การที่เราจะให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีอย่างสมบูรณ์ควรกิน 4-5 มื้อต่อวัน แต่ว่าแบ่งเป็นมื้อย่อย คือกินให้น้อยๆ เช่นถ้าตอนเช้ากินโจ๊กไปถ้วยเดียวก่อนเที่ยงอาจหาอะไรกินเพิ่มอีกสักอย่าง มื้อกลางวันกินก๋วยเตี๋ยว ตอนเย็นกินแกงจืด ถ้าหิวอีกตอนกลางคืนก็อาจหาอะไรกินให้มันอยู่ท้องการกินแต่น้อยๆ แต่บ่อยครั้งเป็นผลดีต่อระบบย่อยอาหารเป็นอย่างมากกว่ากินแค่ 1-2 มื้อ แต่กินในปริมาณที่เยอะๆ

ดังนั้นทุกคนต้องเลือกรับประทานอาหารให้ถูกต้องตรงตามฤดูเพื่อที่จะให้ร่างกายของเราไม่เป็นโรคแล้วยังต้องกินอาหารให้ตรงเวลาเพื่อป้องกันไม่ให้เป็นโรคกระเพาะอีกด้วย
cr. http://www.ihealthyplusshop.com/article/กินอาหารอย่างไรให้ถูกต้องตามฤดู

โภชนาการดี ชีวิตยืนยาว

           ย้อนกลับไปในสมัยก่อนคนไทยเรามีชีวิตที่เรียบง่ายอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี หายใจก็ได้อากาศอันบริสุทธิ์เข้าสู่ร่างกาย ไม่ว่าจะกิน นอน หรือทำกิจกรรมต่างๆ ก็มาจากธรรมชาติ ต่างจากปัจจุบันโดยสิ้นเชิง ที่ไม่ว่าอะไรๆ ก็เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อน ไม่ว่าจะเป็นอาหารการกิน ความเป็นอยู่ ที่ไม่มีความเป็นธรรมชาติ มีอุตสาหกรรมทำให้อากาศไม่บริสุทธิ์แม้แต่การกินยังต้องมีสารเคมีมาปรุงแต่งอาหาร
            ในสมัยก่อนเราจะสังเกตเห็นว่าคนในสมัยนั้นมีสุขภาพที่แข็งแรง แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป สภาพแวดล้อมก็เลยเปลี่ยนโดยเฉพาะคนในเมือง พอเมื่อมีการแข่งขัน ชีวิตก็เร่งรีบมากขึ้น พฤติกรรมการกินก็เปลี่ยนไป กินแต่อาหารขยะ fast food อาหารมีพิษ อาหารที่มีสารปนเปื้อน และอาหารที่มีไขมันสะสมสูง  ของเหล่านี้จะทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บได้ง่ายมากมายหลากหลายโรค
            หนุ่มสาวสมัยใหม่แก่เร็วและไม่แข็งแรง เพราะว่าไม่ค่อยได้ออกกำลังการ แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนหรอกครับ หนุ่มสาวสมัยนี้ถ้าอยากแข็งแรง ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ต้องหมั่นออกกำลังกาย และ เลือกรับประทานแต่อาหารที่มีประโยชน์ ถ้าเกิดในเซลล์เม็ดเลือดแดงมีพิษสะสมจะทำให้เกิดโรคได้อย่างง่ายดาย
            แต่ถ้าเราปรับนิสัยการกินใหม่ และศึกษาความรู้เรื่องโภชนา เราทุกคนก็จะแข็งแรง เพราะรู้จักเลือกกิน รู้จักเลี่ยงอาหารที่มีคุณมากกว่าโทษ
            อาหารแต่ละอย่างแต่ละชนิดมีสรรพคุณต่างออกกันไป แต่ก็เป็นยาดีที่สามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้เราได้ช่วยต่อต้านโรคบางอย่างและลดความเสื่อมของเซลล์ในอวัยวะต่างๆ ทำให้ไม่แก่เร็ว ไม่เจ็บป่วยง่าย

            เมือร่างกายของเราแข็งแรง สุขภาพจิตก็จะมีความสุขไปด้วยและดำเนินชีวิตกิจกรรมต่างๆไปได้อย่างยาวนานเพียงเท่านี้สุขภาพของเราก็จะไม่มีปัญหาอีกต่อไป และอายุยืนนาน

วันพุธที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2558

เปลี่ยนผมเสียเป็นผมสวย ด้วยสมุนไพร

เปลี่ยนผมเสียเป็นผมสวย  ด้วยสมุนไพร
                การมีผมหนานุ่ม ยาวสลวย ตั้งแต่โคนจรดปลายนั้นเป็นสิ่งที่ผู้หญิงอย่างเราใฝ่ฝัน หากใครที่กำลังประสบปัญหาผมแห้งเสีย ชี้ฟู ไม่มีน้ำหนักจัดทรงยากอยู่ละก็ แนะนำให้ลองทำตามสูตรต่อไปนี้เลย
                มะกรูด นำมะกรูด 1- 2 ลูก มาย่างไฟอ่อนๆ หรือจะใช้แบบสดๆเลยก็ได้ จากนั้นคั้นเอาแต่น้ำมาชโลมหมักให้ทั่วศรีษะ ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาทีแล้วล้างออก มะกรูดจะช่วยลดความมันและบำรุงให้ผมนุ่มสลวยมีน้ำหนักยิ่งขึ้น
                อัญชัน เป็นพืชที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่โดดเด่น และนอกจากดอกสีม่วงที่สวยงามแล้ว อัญชันยังมีสรรพคุณช่วยให้ผมดกดำ เงางาม ด้วยการนำดอกอัญชันมาสัก 1 กำมือ บดขยี้ผสมกับน้ำ กรองเอากากออกนำมาหมักชโลมเส้นผม 15-30 นาทีแล้วสระผมตามปกติ ทำเป็นประจำอย่างน้อย 1-2 เดือน ช่วยฟื้นฟูผมทำสีให้กลับมาดกดำเงางามได้
                น้ำซาวข้าว หากเป็นสมัยก่อนที่มีการหุงข้าวแบบเช็ดน้ำคงง่ายที่จะได้น้ำซาวข้าว แต่ปัจจุบันมีหม้อหุงข้าวแบบอัตโนมัติ เราเลยไม่รู้จักน้ำซาวข้าวกันซะเท่าไหร่ แต่ก็มีวิธีง่ายๆโดยการคัดเอาน้ำจากการล้างซาวข้าวครั้งที่ 2 ก็เป็นอันใช้ได้
นำน้ำซาวข้าวมาสระผม แล้วตามด้วยการสระผมด้วยแชมพูปกติ หรือผสมน้ำมะกรูด ช่วยขจัดรังแค ทั้งยังบำรุงให้ผมนุ่มลื่นสลวย
                กล้วยหอม เป็นที่ทราบกันดีว่าแล้วว่า กล้วยหอมนั้นช่วยให้ผิวนุ่มชุ่มชื่น ลดเลือนริ้วรอยได้แล้ว ยังสามารถช่วยให้ผมนุ่มสุขภาพดีได้เช่นกัน ด้วยการนำกล้วยหอม 1-2 ปั่นจนเป็นเนื้อครีมหมักทุกครั้งก่อนสระผม 15 นาที ช่วยบำรุงให้เส้นผมที่ชี้ฟู มีน้ำหนักและจัดทรงง่าย
ชะอม ส่วนมากนิยมนำไปประกอบอาหาร แต่ยังไม่ค่อยมีใครได้รู้ถึงสรรพคุณที่พิเศษอีกอย่างคือ ชะอมสามารถคืนสภาพเส้นผมที่แห้งเสีย กลับมาเงางามได้ โดยการนำเอาชะอมมาสัก 1 กำมือ ต้มกับน้ำ คั้นและกรองเอาน้ำทิ้งให้เย็นแล้วนำมาสระผม ช่วยเรื่องผมแห้งเสียแตกปลายได้
                ว่านหางจระเข้ เพิ่มความชุ่มชื่นให้เส้นผมด้วยการนำวุ้นจากว่านหางมาปั่นแล้วหมักชโลมทิ้งไว้ 20 นาที ก่อนสระผมจะช่วยฟื้นฟูผมที่แห้งเสีย หยาบกร้าน ให้กลับมาแข็งแรงสวยได้ดั่งใจ
                มะพร้าว สามารถใช้น้ำมันมะพร้าวที่ขายตามท้องตลาด ห้างสรรพสินค้าต่างๆ หรือจะใช้มะพร้าวที่ทำกะทินำมาเคี่ยวจนได้น้ำมัน ใช้ชโลมนวดเส้นผม ทิ้งไว้ 15-20 แล้วจึงสระล้างออก ช่วยรักษาผมแตกปลายและช่วยให้ผมนิ่มลื่นขึ้น

                นอกจากสมุนไพรใกล้ตัวที่หาใช้ได้ง่ายแล้ว วิธีที่จะช่วยให้ผมเสียมาเป็นผมสวยได้อีกทางหนึ่งก็คือ การเลือกใช้แชมพูที่มีสูตรเหมาะกับสภาพหนังศรีษะ เช่น ลดการขาดร่วง ขจัดรังแค อ่อนโยนถนอมเส้นผม เป็นต้น 

วิธีดูแลผิวใบหน้าให้สวยใสเป็นธรรมชาติ

เชื่อว่าการที่มีผิวสุขภาพดีนั้นเป็นที่ใฝ่ฝันของสาวๆหลายคนเลย วันนี้เราจึงมีวิธีง่ายๆที่จะช่วยฟื้นฟูผิวให้กลับมาสวยใสกันค่ะ
 
             นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ  ร่างกายคนเราโดยเฉลี่ยแล้วควรพักผ่อนให้ได้วันละประมาณ 7-8 ชั่วโมง เพราะจะช่วยให้ฮอร์โมนในร่างกายนั้นทำงานและปรับสมดุล ซ่อมแซมผิวและส่วนที่สึกหรอ ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการนอนคือ เวลา 22.00 น. ยิ่งได้นอนเร็ว ยิ่งดีต่อผิว เพราะจะได้รับการฟื้นฟูอย่างเต็มที่ทำให้ผิวเปล่งปลั่งสดใสในทุกๆเช้าที่ตื่นขึ้นมา
รับประทานผักและผลไม้ นอกจากจะพักผ่อนให้เพียงพอแล้วยังต้องรู้จักเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น  ผักและผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง อย่าง ส้ม แอปเปิล มะเขือเทศ สัปปะรด ฝรั่ง สตรอเบอร์รี่ ล้วนแต่ช่วยให้ผิวพรรณของเราสวยเปล่งปลั่งสุขภาพดีได้ค่ะ
ออกกำลังกาย อย่างน้อยวันละ 30 นาที จะช่วยให้เลือกนั้นไหลเวียนไปเลี้ยงส่วนต่างๆได้ดี และเป็นการกำจัดของเสียที่อยู่ในร่างกายผ่านทางรูขุมขน  ออกมาเป็นเหงื่อ ดังนั้นเราจึงควรหมั่นออกกำลังกายทุกๆวันโดยเฉพาะช่วงเช้า ที่จะเป็นการอุ่นเครื่องร่างกายเพื่อให้พร้อมทำงานในแต่ละวัน
 ล้างหน้าให้สะอาด ยิ่งสาวๆที่ชอบแต่งหน้า ยิ่งต้องใส่ใจขั้นตอนในการล้างหน้า ควรเช็ดล้างเครื่องสำอางออกให้หมดจด จนมั่นใจได้ว่าไม่เหลือคราบเสียก่อน ด้วย make up remover จากนั้นใช้ล้างหน้าด้วยโฟมล้างหน้าที่เหมาะกับสภาพผิวของแต่ละคน เช่น คนผิวมันแนะนำให้ทำความสะอาดด้วยเจลล้างหน้า ผิวที่บอบบางแพ้ง่ายนั้นควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนต่อผิว และไม่ควรล้างหน้าบ่อยเกินไป เพราะจะทำให้ผิวแห้งขาดความชุ่มชื่น ควรล้างหน้าอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น ก็เพียงพอแล้ว


 

                การบำรุงผิว การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะกับสภาพผิว  ก่อนออกแดด 30 นาที ควรทาครีมกันแดด เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวโดนทำร้าย โดยเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF ที่เหมาะสมกับกิจกรรมในแต่ละวัน
                 การทำสปาผิว  พอกผิว  ขัดผิว อย่างน้อย สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง เพื่อผลัดเซลล์ผิวใหม่และบำรุงให้เนียนนุ่มขาวใสด้วยการพอกผิว เช่น การพอกด้วยสมุนไพร  เป็นต้น
                งดดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนหรือแอลกอฮอล์ เพราะจะทำให้ผิวหน้าหมองคล้ำไม่สดใส และผู้หญิงไม่ควรสูบบุหรี่ นอกจากจะทำให้ริมฝีปากคล้ำแล้ว ยังทำให้เสียบุคลิกภาพอีกด้วย
                หากิจกรรมที่ทำแล้วผ่อนคลาย สบายใจ เช่น  การดูหนัง อ่านหนังสือ นั่งสมาธิ เล่นโยคะ หรือการคิดในแง่บวก อยู่กับธรรมชาติ ปล่อยวางและทำจิตให้สงบ จะช่วยให้ลดความเครียดได้ เมื่อไม่เครียดก็จะได้ทั้งสุขภาพผิว กาย ใจ ที่ดี

                สิ่งเหล่านี้เป็นวิธีพื้นฐานง่ายๆที่ทุกคนสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้  รับรองว่าผิวสวยจากภายในสู่ภายนอกแน่นอนจ้า

http://www.ihealthyplusshop.com/article/วิธีดูแลผิวใบหน้าให้สวยใสเป็นธรรมชาติ

วันอังคารที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

วิธีปกป้องดวงตาจากภัยร้าย เมื่อชีวิตติดจอ 7.2 ชั่วโมงต่อวัน

วิธีปกป้องดวงตาจากภัยร้าย เมื่อชีวิตติดจอ 7.2 ชั่วโมงต่อวัน


โดย..รศ.ดร.สุรพจน์ วงศ์ใหญ่   วิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก ม.รังสิต
          เมื่อคนยุคใหม่มีไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตแบบ "ชีวิตติดจอ" ในชีวิตประจำวันดวงตาของเราต้องเผชิญกับภัยรูปแบบต่างๆ ที่มาจากแสงจากจอคอมพิวเตอร์ จอแท็บเล็ต หรือจอสมาร์ทโฟนในการทำงาน เรียนหนังสือ อัพเดทสถานะโซเชียลมีเดีย เล่นเกม ดูหนัง ส่งข้อความ ซื้อของออนไลน์ ค้นหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ต ฯลฯ พฤติกรรมเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ทำให้ดวงตาต้องรับบทหนัก ต้องเพ่ง ต้องจ้องหน้าจอต่างๆ อยู่ตลอดเวลา ซึ่งส่งผลให้เกิดปัญหาสายตาต่างๆ ตามมา
          สอดคล้องกับผลการสำรวจพฤติกรรมผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย ปี พ.ศ. 2557 ซึ่งจัดทำโดยกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร พบว่าปัจจุบันคนไทยมีพฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตเฉลี่ยถึง 7.2 ชั่วโมง/วันซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่สูงมาก และนอกจากนี้ที่น่าเป็นห่วงคือมีแนวโน้มค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้นทุกปี ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพดวงตาโดยตรง โดยที่ดวงตาของเราถูกทำร้ายโดยไม่รู้ตัว เพราะการที่จดจ่ออยู่กับงานหรือเนื้อหาต่างๆ จากหน้าจอนานๆ ทำให้ดวงตาต้องทำงานหนัก บางทีเผลอลืมกระพริบตาจนทำให้เกิดภาวะตาแห้ง หรือลืมเปลี่ยนอิริยาบถเพื่อละสายตาจากหน้าจอ การที่ดวงตาต้องเจอกับแสงจ้าจากหน้าจอดังกล่าว ส่งผลให้มีอนุมูลอิสระสะสม จนอาจจะทำให้เกิดความผิดปกติเกิดขึ้นกับดวงตาของเราได้ เช่น อาจจะเกิดการระคายเคือง น้ำตาไหล ตาแห้ง ตาอักเสบ เกิดสายตาพร่ามัว จากกล้ามเนื้อตาอ่อนล้า มีอาการมองเห็นภาพซ้อน รวมถึงอาการแพ้แสง เป็นต้น
          ฉะนั้นเราควรเริ่มดูแลและถนอมสายตาตั้งแต่เนิ่นๆ ก่อนสายเกินแก้ เพราะดวงตาของเราเป็นอวัยวะที่สำคัญมีคู่เดียวไม่มีอะไหล่เปลี่ยน บางคนถึงกับเปรียบว่ายอมเสียแขนขาดีกว่าเสียดวงตาทั้งคู่ไป โดยวิธีการป้องกันดวงตาเบื้อต้นเริ่มจาก
      - หมั่นกระพริบตาบ่อยๆ อย่างน้อย 10-15 ครั้ง/นาที 
      - นั่งทำงานในที่มีแสงสว่างเพียงพอ 
      - ปรับขนาดตัวหนังสือให้อ่านง่าย ไม่เล็กเกินไป 
      - ที่สำคัญควรเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อการบำรุงสายตา เช่น ผักและผลไม้ต่างๆ โดยเฉพาะผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ เช่น บิลเบอร์รี่ สตรอเบอร์รี่ แครนเบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ และแบล็คเคอร์แรนต์ เป็นต้น เพราะผลไม้ตระกูลเบอร์รี่เหล่านี้มีวิตามินเอและแอนโธไซยานินสูง ที่มีผลงานวิจัยระบุว่า
      วิตามินเอช่วยในการมองเห็น และยังมีส่วนช่วยป้องกันการเกิดภาวะตาแห้ง
      ส่วนแอนโธไซยานิน ช่วยคลายความเหนื่อยล้าของดวงตา ช่วยปกป้องจอประสาทตา ช่วยให้การมองเห็นในเวลากลางคืน และช่วยให้การไหลเวียนเลือดในเส้นเลือดฝอยดีขึ้น
      นอกจากนี้ยังมีวิตามินซี อี และไบโอฟลาโวนอยด์ ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ มีส่วนช่วยปกป้องและถนอมดวงตาไม่ให้โดนทำลาย
          ที่สำคัญอีกหนึ่งประการ เพื่อสุขภาพที่ดีของดวงตา นอกจากการเติมสารอาหารให้ดวงตาด้วยผลไม้ตระกูลเบอร์รี่และการพักสายตาเป็นระยะๆ แล้ว เราควรดื่มน้ำมากๆ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ และไม่ใช้สายตาทำงานหักโหมมากจนเกินไป วิธีการเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นวิธีที่ช่วยเสริมเกราะป้องกันดวงตาจาก “ชีวิตติดจอ” ในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี

ความสำคัญของผลไม้ตระกูลเบอร์รี่      
 
 "ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ มีวิตามินเอและแอนโธไซยานินสูง ผลงานวิจัยระบุว่า วิตามินเอช่วยในการมองเห็น ช่วยป้องกันการเกิดภาวะตาแห้ง ส่วนแอนโธไซยานิน ช่วยคลายความเหนื่อยล้าของดวงตา ช่วยปกป้องจอประสาทตา ช่วยให้การมองเห็นในเวลากลางคืน และช่วยให้การไหลเวียนเลือดในเส้นเลือดฝอยดีขึ้น"

      
อ้างอิง:
        เนื้อหาจาก หนังสือพิมพ์มติชน [ วันที่ 06/02/2558 ]
         รายงานผลการสำรวจพฤติกรรมผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย  ปี 2557 Thailand Internet User ProB le 2014, เรียบเรียงโดย ส่วนงานดัชนีและสำรวจ สำนักยุทธศาสตร์ สำนักงานพัฒนาธุรกรรม ทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร


ประโยชน์ขององุ่นนานาพันธุ์

ประโยชน์ขององุ่นนานาพันธุ์
องุ่น มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ คือ Vitis vinifera Linn นับว่าเป็นผลไม้ยอดนิยมสำหรับใครหลายๆ คนเลยทีเดียว โดยเฉพาะเสน่ห์ของรสชาติที่มาพร้อมกับความเปรี้ยวอมหวานที่โดนใจเป็นอย่างยิ่ง และนอกจากในรูปแบบการบริโภคเนื้อองุ่นแล้ว ใบองุ่นก็ยังนิยมนำมาสกัดและเป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางอย่างหลากหลาย ร่วมถึงผลิตภันฑ์บำรุงผิวต่างๆ 
            ในองุ่นมีสารอาหารมากมายที่ร่างกายต้องการ และมีส่วนในการสร้างภูมิคุ้มกันรักษาป้องกันโรคต่างๆ ได้อย่างมากมาย อาทิ
ช่วยให้ผนังหลอดเลือดแข็งแรง ลดความเสี่ยงต่อการจับตัวของก้อนเลือด และลดโคเลสเตอรอลชนิดแอลดีแอล (ไขมันไม่ดี) เหตุนี้จึงช่วยป้องกันโรคเกี่ยวกับระบบเลือดและหัวใจได้ดีเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติช่วยลดริ้วรอยและทำให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่นมากขึ้น อีกด้วย ทั้งนี้องุ่นที่เราพบเห็นและผู้คนนิยมบริโภคกันทั่วไป จะแบ่งเป็น 3 ชนิดใหญ่ ได้แก่ 1). องุ่นแดง  2).องุ่นดำ  3). องุ่นเขียว
โดยในองุ่นจะประกอบด้วยสารอาหารหลักๆ คือ ฟรุกโตส กาแลกโตส กลูโคส ซึ่งเหล่านี้เป็นน้ำตาลที่ร่างกายต้องการใช้เพื่อสร้างพลังงาน เพื่อช่วยเร่งการเผาผลาญในร่างกาย และกระตุ้นให้ตับทำหน้าที่ฟอกเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้องุ่นยังอุดมไปด้วยวิตามิน  B1, B2, A, C และเกรือแร่ เราจึงเห็นเครื่องดื่มบำรุงกำลังบางชนิด นำองุ่นมาเป็นส่วนผสมร่วม เพราะร่างกายของเราสามารถดูดซึมน้ำตาลจากองุ่นได้ง่ายนั่นเอง 
            
จากการ วิจัยของนักวิทยาศาสตร์ เมืองนิวยอร์ก ประเทศอเมริกา พบว่า ในองุ่นมีสารต้านอนุมูลอิสระที่เรียกว่าPolyphenols ซึ่งส่วนใหญ่เราจะสามารถบริโภคได้ในรูปของน้ำองุ่นหรือไวน์แดง สาร Polyphenols นี้มีส่วนช่วยให้คนเรา มีอายุสมองที่ยาวนานและแข็งแรงขึ้น ทำให้สามารถทำงานและจดจำสิ่งต่างๆ ได้เป็นอย่างดีถึงแม้จะอายุมากแล้วก็ตาม การบริโภคองุ่นทุกวันจึงมีส่วนทำให้สมองปลอดโปร่ง และรู้สึกสดชื่นขึ้นได้

ประโยชน์สรรพคุณขององุ่นดำ
องุ่นดำ เป็นองุ่นที่มีกระแสมาแรงในช่วงนี้ ผู้ที่มีความต้องการที่จะลดพุง หรือลดไขมันส่วนเกินในร่างกาย องุ่นดำสมารถช่วยได้ ทั้งนี้เพราะองุ่นดำเป็นผลไม้ ที่มีไฟเบอร์สูงช่วยในเรื่องการเผาพลานไขมันได้ดี และช่วยลดความอยากรับประทานอาหารได้เนื่องจากมีใยอาหารสูง ความหวานในองุ่นดำ เป็นความหวานที่ได้จากฟรุกโตส ซึ่งเป็นน้ำตาลผลไม้ที่ให้พลังงานสูง ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนไปอยู่ในรูปแบบของคาร์โบไฮเดรต อีกทั้งองุ่นเป็นผลไม้ที่ไม่มีไขมัน ดังนั้นผู้ที่ชื่นชอบความหวาน การบริโภคองุ่นจึงทิ้งความกังวลเรื่องความอ้วนไปได้เลย นอกจากนี้ในองุ่นดำยัง มีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ (Antioxidantช่วยขับล้างสารพิษในลำไส้ ทำให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ปกติ ปัจจุบันองุ่นดำยังนับว่ามีราคาสูงเมื่อเทียบกับองุ่นชนิดอื่นๆ

ประโยชน์สรรพคุณขององุ่นเขียว 
องุ่นเขียว นับเป็นองุ่นที่หาบริโภคได้ง่ายที่สุด ช่วยลดภาวะเสี่ยงที่จะเกิดโรคมะเร็ง และมีประโยชน์อย่างมากกับผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็ง ในองุ่นเขียวนอกจากจะมีสารอาหารหลักที่ร่างกายต้องการมากมาย อาทิเช่น วิตามิน A, C, B1, B2แล้ว ยังมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์(antioxidant) ที่ประกอบด้วย คาเตชิน (Catechin) และเทอร์ซอทิลบีน (Ptersotilbene) มีสรรพคุณช่วยยับยั่งการเจริญของสาร oxident ที่เป็นสารก่อให้เกิดอนุมูลอิสระ อันเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคมะเร็งชนิดต่างๆ อาทิ มะเร็งในลำไส้ มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก และโรคมะเร็งอีกหลายชนิดที่มีสาเหตุมาจากอนุมูลอิสระในร่างกาย ทั้งนี้องุ่นเขียวยังช่วยในเรื่องของการผลัดเซลล์ผิวทำให้ผิวพรรณดูเปล่งปลั่งขึ้นได้

ประโยชน์สรรพคุณขององุ่นแดง
องุ่นแดง ประกอบด้วยสารอาหารป้องกันโรคและช่วยเสริมสร้างความงามให้กับผิวพรรณ นั่นเพราะต้องอาศัยความพิถีพิถันเป็นอย่างมากในการปลูก จึงทำให้องุ่นแดงมีราคาแพงมากที่สุดในเหล่าบรรดาองุ่นชนิดอื่น องุ่นแดงอุดมไปด้วยวิตามิน A,B1, B2 เกลือแร่ ธาตุเหล็ก น้ำตาลฟรุกโตส กาแลกโตส ซูโครส ที่ร่างกายสามรถดูดซึมได้ทันที โดยไม่ต้องรอให้น้ำตาลเปลี่ยนมาอยู่ในรูปของคาร์โบไฮเดรต เหตุนี้จึงทำให้ผู้บริโภคหายกังวลเรื่องความอ้วนไปได้เลย
องุ่นแดงมีสรรพคุณในการป้องกันโรคต่างๆ ได้อย่างมากมาย ในองุ่นแดงมีสารสำคัญอย่าง ฟลาโวนอยด์ (flavonoid) เป็นสารที่มีส่วนในการยับยั้งและต้านอนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งชนิดต่างๆ ได้เช่นเดียวกับองุ่นชนิดอื่นๆ และสารแอนโธไซยานิน ที่ช่วยซ่อมแซมส่วนประสาท ช่วยขยายหลอดเลือด ทำให้โลหิตหมุนเวียนได้ดีขึ้น จึงช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง อมชมพูดูเป็นธรรมชาติ และในการรับประทานองุ่นแดง ยังช่วยลดคอเลสเตอรอล (Cholesterol) จึงมีส่วนช่วยลดภาวะการเกิดโรคหัวใจได้อีกด้วย 


ประโยชน์ขององุ่นที่มีต่อผิวพรรณ
ปัจจุบันนิยมนำเอาเมล็ดองุ่นมาสกัด แล้วนำสารที่สกัดที่ได้มาเป็นส่วนผสมสำคัญในผลิตภันฑ์อาหารเสริม หรือเครื่องสำอางประเภทต่างๆ เป็นอย่างมาก เพราะสารสกัดจากเมล็ดองุ่น มีวิตมินซีสูงกว่า ผลมะนาว ถึง20เท่า เหตุนี้ผู้คนจึงหันมานิยมผลิตภันฑ์เสริมความงาม ที่มีส่วนผสมของเมล็ดองุ่นกันเป็นอย่างมาก
ในเมล็ดองุ่นจะมีสารจำพวก Oligoneric Proantho Cuanidin(OPC) ซึ่งมีปะโยชน์ช่วยสร้างคอลาเจนธรรมชาติให้กับผิวพรรณ ทำให้หน้าดูเต่งตึงอ่อนวัยป้องกันริ้วรอย ฝ้ากระ ตีนกา รอยเหี่ยวย่นบนผิวหนัง ด้าวยความที่องุ่นมีวิตามินที่สูง ดังนั้นนักจากช่วยเสริมสร้างสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงแล้ว ยังช่วยให้ผิวพรรณ สวยใสแลดูอ่อนเยาว์ตลอดเวลา
cr. http://www.ihealthyplusshop.com/article/ประโยชน์ขององุ่นนานาพันธุ์

Review : อาหารเสริมบำรุงสายตา Puritan's Pride Bilberry ดีหรือไม่?

ความน่าเชื่อถือของผลิตภัณฑ์และบริษัทผู้จัดจำหน่าย

          อาหารเสริมบำรุงสายตา Puritan's Pride Bilberry อาหารเสริมที่มีคุณสมบัติในการดูแลและบำรุงสายตา และได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งบริษัทผู้จัดจำหน่ายหลักคือบริษัท Puritan's Pride. Inc บริษัทผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารเสริมบำรุงสุขภาพชั้นนำในอเมริกา ซึ่งก่อตั้งมายาวนานนับ 50 กว่าปี ดังนั้นด้วยระยะเวลาการก่อตั้งที่ยาวนานจึงมั่นใจได้ถึงความน่าเชื่อถือเป็นอย่างมาก 
           และในด้านความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์ทุกๆ ผลิตภัณฑ์ของบริษัท Puritan's Pride. Inc  อยู่ภายใต้มาตรฐานการผลิต GMP ดังนั้นจึงมั่นใจได้ถึง ความสะอาด ปลอดภัยในการบริโภค ซึ่งในที่นี้รวมถึงผลิตภัณฑ์ Puritan's Pride Bilberry ทุกๆ ขนาดด้วยเช่นกัน               
ประโยชน์ของบิลเบอร์รี่ (Bilberry) ที่มีต่อสุขภาพดวงตา
          1. ทำให้การมองเห็นในที่มืดดีขึ้น
          2. ช่วยบรรเทาอาการตาพร่ามัวในตอนกลางคืน ( Night blindness)
          3. ช่วยลดอาการเมื่อยล้าของดวงตา เมื่อใช้สายตาในการทำงานหรืออยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ
          4. ช่วยป้องกันเลนส์ตาและช่วยให้คอลลาเจนในตาในส่วน cornea และหลอดเลือดฝอยแข็งแรงขึ้น
          5. ช่วยลดอนุมูลอิสระในจอตา ทำให้ป้องกันอาการเสื่อมที่มักจะเกิดกับดวงตาให้น้อยลงได้ เช่น ต้อกระจก ต้อหิน ต้อเนื้อ ตาเสื่อมในคนสูงอายุ(สายตายาว)
          นอกจากนี้บิลเบอร์รี่ยังมีส่วนช่วยป้องกัน โรคเบาหวาน, โรคไทฟอยด์, นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ, โรคความดันโลหิตสูง และโรคระบบหายใจผิดปกติ ได้อีกด้วย

ขนาดรับประทานที่เหมาะสม
          ขนาดรับประทาน Puritan's Pride Bilberry ที่เหมาะสมกับคนไทยคือขนาด 1,000 mg (โดยมีขนาดบิลเบอร์รี่สกัดผสมอยู่ในปริมาณ 1 ใน 4 หรือราว 250 mg/เม็ด) ซึ่งในปริมาณนี้ถือว่าเพียงพอต่อความต้องการของผู้ที่มีสายตาปกติทั่วไป แต่สำหรับผู้ที่มีสายตาที่ผิดปกติ อาทิเช่น โรคต้อชนิดต่างๆ, สายตาสั้น-ยาว, หรือผู้ที่ใช้สายตาอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์หรือต้องเจอกับแสงจ้าตลอดเวลา ขนาดที่เหมาะสมในการรับประทานต่อวัน จึงอยู่ที่ราวๆ 2,000 mg หรือรับประทาน 2 เม็ดต่อวันนั่นเอง
          โดยวิธีรับประทาน ให้รับประทานวันละ 1-2 ครั้ง ครั้งละ 1 เม็ด หลังอาหารทันที (ผู้ที่มีอาการทางสายตาหรือผู้ที่ใช้สายตาทำงานมากกว่าปกติขนาดรับประทานที่แนะนำคือ วันละ 2 ครั้ง ตามแต่มื้ออาหารที่สะดวก)     

ระยะเวลาเท่าใดจึงจะเริ่มเห็นผล?
          โดยทั่วไปหลังรับประทานแล้ว 1 เดือน จะเริ่มเห็นผลว่าสายตาเริ่มมีประสิทธิภาพในการทำงานดีขึ้น แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยแต่ละบุคคล เพราะปัญหาสายตานั้นมักเกิดจากการถูกละเลยในการบำรุงดูแลมาเป็นระยะเวลายาวนาน แต่โดยทั่วไประยะเวลาที่เริ่มเห็นผล จะอยู่ราวๆ 1-2 เดือนหลังรับประทาน   
ราคาและสถานที่จัดจำหน่าย
                อาหารเสริมบำรุงสายตา Puritan's Pride Bilberry 1000 mg. ขนาด 90 softgels 
ราคากระปุกละ  450 บาท(ส่งฟรีทั่วประเทศ)

โดยหาซื้อออนไลน์ได้ที่เว็บไซต์ www.ihealthyplusshop.com  
 หรือผ่านลิงค์นี้ http://www.ihealthyplusshop.com/product/2/อาหารเสริมบำรุงสายตา-puritanaposs-pride-bilberry-1000-mg-90-softgels
หรือติดต่อโดยผ่าน Line ID @ ihp4032  
เบอร์โทรศัพท์ 093-0504032