วันจันทร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2557

สารอาหารบำรุงสายตาที่สำคัญ 4 ชนิด

สารอาหารบำรุงสายตาที่สำคัญ 4 ชนิด

          จากผลการวิจัยทางการแพทย์ที่มีมายาวนานพบว่า สารอาหาร 4 ชนิดที่มีส่วนช่วยในการดูแลสุขภาพของดวงตาได้อย่างมีประสิทธิภาพ คือ



1.วิตามินและแร่ธาตุชนิดรวม (Vitamins and Minerals)
          วิตามินชนิดนี้มีส่วนช่วยในการทำงานของดวงตาเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งคงหนีไม่พ้นจำพวก วิตามินเอ (Vitamin A) และเบต้า-แคโรทีน (Beta-Carotene) ซึ่งวิตามินทั้งสองจำเป็นอย่างยิ่งต่อการมองเห็นโดยเฉพาะเวลากลางคืน
          วิตามินเอในรูปของเรตินอล (Retinol) เป็นส่วนประกอบสำคัญของเม็ดสีที่เรียกว่าโรดอฟซิน (Rhodopsin) ซึ่งอยู่ที่จอประสาทตา โรดอฟซินจะมีความไวต่อแสงแม้เพียงเล็กน้อย จึงจำเป็นอย่างมากในการมองเห็นเวลากลางคืน นอกจากนี้วิตามินเอยังมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดต้อกระจกได้อีกด้วย
          ในส่วนของวิตามินบี (Vitamin B) พบว่าการขาดวิตามิน – บี12 ( Vitamin-B12) จะเพิ่มโอกาสในการเกิดโรคต้อหิน
          นอกจากนี้ยังมีแร่ธาตุสังกะสี (Zinc) มีความสำคัญไม่น้อยในการลำเลียงวิตามินเอจากตับไปที่จอประสาทตา ดังนั้นการขาดธาตุสังกะสี อาจก่อให้เกิดความผิดปกติในการมองเห็น และเสี่ยงต่อการเกิดต้อกระจกอีกได้เช่นกัน ดังนั้นเมื่อรับประทานอาหารจำพวกวิตามินเอและบีแล้ว อย่าลืมที่จะรับประทานอาหารในกลุ่มที่มีแร่ธาตุสังกะสี ด้วยอาทิเช่น เนื้อสัตว์ ตับ อาหารทะเลโดยเฉพาะหอยนางรม เป็นต้น

2.สารลูทีน (Lutein)
          เป็นสารธรรมชาติในกลุ่ม Carotenoids ซึ่งเป็นรงควัตถุสีเหลืองเข้ม พบได้ในพืชที่มีสีเหลือง รวมไปถึงผักใบเขียวเข้มต่างๆ อาทิเช่น ผักโขม ข้าวโพด ดอกดาวเรือง เป็นต้น และพบที่เซลล์บริเวณ Macula ในจอประสาทตา ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับการมองเห็นภาพที่อยู่ตรงกลางของส่วนรับภาพ
นอกจากนี้ยังช่วยกรองแสงสีน้ำเงิน ซึ่งเป็นแสงที่ต่างจากสีอื่นตรงที่ว่า แสงสีน้ำเงินจะกระตุ้นให้เกิดอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นอันตรายต่อจอประสาทตา เช่น แสงจากหลอดไฟ แสงจากหน้าจอทีวีและคอมพิวเตอร์ เป็นต้น
          นอกจากนี้ลูทีนยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระช่วยปกป้องดวงตาจากอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นภายในดวงตา ซึ่งจะเป็นตัวทำลายเซลล์รับภาพและทำให้เกิดโรคเกี่ยวกับจอประสาทตาได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่



3.กรดไขมันจำเป็น (Essential Fatty acid)
          สำหรับกรดไขมันโอเมก้า – 3 ชนิด DHA จะเกี่ยวข้องกับการทำงานของสมองและระบบประสาทตาที่ดี โดยปกติน้ำมันชนิดนี้จะพบมากในน้ำมันปลาทะเล (Fish Oil) ซึ่งช่วยชะลอการเกิดความเสื่อมของจอประสาทตา ช่วยทำให้ดวงตามีความชุ่มชื้น ป้องกันอาการตาแห้ง โดยเฉพาะผู้ที่สวมใสคอนแทกส์เลนส์เป็นประจำ

4.ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ (Berries)
          ผลไม้ในกลุ่มนี้ถือว่าเป็นผลไม้ที่ช่วยบำรุงดวงตาอย่างมากโดยเฉพาะบิลเบอร์รี่ (Bilberry) เนื่องจากมีสารสำคัญอย่าง Anthocyanosides ที่ช่วยปกป้องผนังหลอดเลือด และหลอดเลือดฝอยเล็กๆ ที่อยู่ในดวงตารวมถึงเพิ่มการไหลเวียนเลือดของเส้นเลือดฝอยในตา นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีมากช่วยป้องกันการทำลายจากสารอนุมูลอิสระซึ่งทำให้เกิดความเสื่อมของจอประสาทตา ต้อกระตก และอาหารตาบอดกลางคืน
          การรับประทานบิลเบอร์รี่เป็นประจำ นอกจากจะช่วยในเรื่องของสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงแล้ว ยังช่วยทำให้ดวงตาของคุณสดใส มีน้ำหล่อเลี้ยงแลดูมีสุขภาพดีอยู่เสมออีกด้วย



           ทั้งหมดนี้คือสารอาหารจากธรรมชาติที่ช่วยส่งเสริมการทำงานของดวงตา รวมไปถึงแนวทางในการปฏิบัติตนเองเพื่อป้องกันความผิดปกติ ที่อาจเกิดขึ้นกับดวงตาของคุณ และแน่นอนว่าปัจจัยเหล่านี้ ย่อมช่วยถนอมให้คุณมีดวงตาคู่สวยพร้อมกับสุขภาพของดวงตาที่ดีไปอีกนานแสนนาน

วันจันทร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2557

Puritan's Pride Co Q-10 (โคเอ็นไซม์ คิวเท็น) ขนาด 100 mg จำนวน 60 เม็ด




ราคาพิเศษ 380 บาท (จากปกติ 420 บาท) + ส่งฟรีทั่วประเทศ !!!



**คุณประโยชน์ทั่วไปของ โคเอ็นไซม์ คิวเท็น Co Q-10
     - ช่วยลดภาวะความดันโลหิตสูง หลังจากรับประทาน โคเอ็นไซม์ คิวเท็น Co Q-10 ต่อเนื่อง 4-12 สัปดาห์
     - ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการสร้างพลังงานให้กับหัวใจ, สมอง และ กล้ามเนื้อต่างๆ
     - มีส่วนช่วยลดภาวะหัวใจวายฉับพลับ และ ลดอาการเจ็บหน้าอก
     - มีส่วนช่วยลดอาการหัวใจล้มเหลวในกรณีใช้คู่กับยา ลดอาการบวมที่ขาและลดของเหลวในปอด ทำให้หายใจได้สะดวกมากขึ้น และเพิ่มความสามารถในการออกกำลังกายสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการภาวะหัวใจล้มเหลว
     - ช่วยเสริมการสร้างพลังงานในส่วนของหัวใจ สมอง และ กล้ามเนื้อต่างๆในร่างกาย
     - เป็นตัวต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง
     - ช่วยปรับปรุงการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันให้ดีขึ้นในผู้ที่มีเชื้อ HIV เอดส์
     - เพิ่มประสิทธิภาพของเชื้ออสุจิให้เคลื่อนที่ได้ดีขึ้น และช่วยเสริมประสิทธิภาพเพิ่มความสมบูรณ์ของผู้ชาย
     - ถูกนำไปใช้เป็นอาหารเสริมสำหรับผู้ป่วยทางสมอง พาร์กินสัน และ อัลไซเมอร์
     - เพิ่มความสามารถในการออกกำลังกายในผู้ที่มีโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
     - ช่วยลดภาวะอาการปวดหัวไมเกรน
     - ช่วยเสริมสร้างสุขภาพเหงือกและปาก

**คุณสมบัติและขนาดรับประทาน

     - หญิงสาวหรือชายหนุ่มผู้ต้องการลดริ้วรอย ลดความหมองคล้ำของผิว รับประทาน โคเอ็นไซม์ คิวเท็น Co Q-10 วันละ 100-200 mg/วัน โดยรับประทานครั้งละ 1 เม็ดวันละ 1-2 ครั้ง พร้อมมื้ออาหาร (แนะนำให้รับประทานร่วมกับวิตามินซี และ คอลลาเจน จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ให้ผลลัพท์ที่ดียิ่งขึ้น)
     - ผู้ที่ต้องการ ลดไขมันในเลือด และลดคอเลสเตอรอล สามารถรับประทานโคเอ็นไซม์ คิวเท็น Co Q-10 วันละ 100-400 mg โดยแบ่งรับประทานครั้งละ 1-2 เม็ด วันละ 2 ครั้ง พร้อมมื้ออาหาร
     - วัยทำงานและผู้สูงอายุ โดยเฉพาะผู้มีภาวะขาด โคเอ็นไซม์ คิวเท็น Co Q-10 รับประทาน โคเอ็นไซม์ คิวเท็น Co Q-10 วันละ100- 200 mg  ทานครั้งละ 1 เม็ดวันละ 1-2 ครั้ง พร้อมมื้ออาหาร
     - ผู้ที่มีอาการโรคหัวใจ รับประทาน โคเอ็นไซม์ คิวเท็น Co Q-10 วันละ 200 mg ครั้งละ 1 เม็ดวันละ 2 ครั้ง พร้อมมื้ออาหาร
     - ผู้ที่มีอาการภาวะความดันโลหิตสูง รับประทาน โคเอ็นไซม์ คิวเท็น Co Q-10 วันละ 200 mg ทานครั้งละ 1 เม็ดวันละ 2 ครั้ง พร้อมมื้ออาหาร
     - ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคเส้นเลือดในสมองอุดตัน (stroke) รับประทาน โคเอ็นไซม์ คิวเท็น Co Q-10 วันละ 200-400 mg ครั้งละ 2 เม็ด วันละ 1-2 ครั้ง พร้อมมื้ออาหาร
     - ผู้ที่รับประทานยาลดไขมัน/ยาลดระดับโคเลสตอรอล รับประทาน โคเอ็นไซม์ คิวเท็น Co Q-10 วันละ 200 mg ทานครั้งละ 1 เม็ด วันละ 2 ครั้ง พร้อมมื้ออาหาร
     - ผู้ที่มีอาการเกี่ยวกับโรคที่เกิดจากเซลล์สมองเสื่อม (โรคพาร์กินสันและโรคอัลไซเมอร์) รับประทาน โคเอ็นไซม์ คิวเท็น Co Q-10 วันละ 200-400 mg ทานครั้งละ 2 เม็ดวันละ 1-2 ครั้ง พร้อมมื้ออาหาร
     - ผู้ที่มีอาการเกี่ยวกับโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง (Aids) รับประทาน โคเอ็นไซม์ คิวเท็น Co Q-10 วันละ 200 mg ทานครั้งละ 1 เม็ด วันละ 2 ครั้ง พร้อมมื้ออาหาร
     - นักกีฬา หรือผู้ที่ต้องใช้พลังงานมาก รับประทาน โคเอ็นไซม์ คิวเท็น Co Q-10 วันละ 100-200 mg ทานครั้งละ 1 เม็ด วันละ 1-2 ครั้ง พร้อมมื้ออาหาร


**ข้อแนะนำเพิ่มเติมในการรับประทาน
     - เนื่องจาก Q10 เป็นสารอาหารที่ละลายได้ดีในไขมันได้ ดังนั้นมันจะถูกดูดซึมได้ดีหากรับประทานพร้อมกับอาหารที่มีไขมัน เช่น ถั่ว เนย หรือจะเห็นได้ว่าแคปซูลที่บรรจุ โคเอ็นไซม์ คิวเท็น Co Q10  เป็นแคปซูลที่ทำมาจากสารเคลือบเจลใสพิเศษ
     - เก็บในที่ปราศจากแสง และที่เย็นแต่ห้ามแช่แข็ง
     - สถาบันวิจัยเมโย คลีนิก Mayo Clinic USA แนะนำ ว่าผู้ที่อายุเกิน 18 ปี สามารถรับประทาน โคเอ็นไซม์ คิวเท็น Co Q10 ในช่วง 50-1,200 มิลลิกรัมต่อวัน คนปกติ รับประทานได้ 50-100 มิลกรัมต่อวัน ผู้ที่ต้องการเสริมอาหารสำหรับรักษาอาการผิดปกติของร่างกาย แนะนำรับประทาน 100-200 มิลกรัมต่อวัน และ สำรหับหรับผู้ป่วยที่มีอาการทางสมอง เช่น พาร์กินสัน และ อัลไซเมอร์ แนะนำรับประทาน 400 มิลกรัมต่อวัน ในปริมาณการรับประทาน มากกว่า 200 มิลกรัมต่อวัน ควรปรึกษาแพทย์

     - สำหรับผู้ที่รับประทานเพื่อลดระดับภาวะความดันเลือดสูง ควรรับประทานติดต่อกันนานกว่า 4-12 สัปดาห์ขึ้นไป เนื่องจากต้องใช้เวลากว่าจะเริ่มเห็นผลของ โคเอ็นไซม์ คิวเท็น Co Q10

วันพุธที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2557

Puritan's Pride Premium - Ultra Biotin 7500 mcg ขนาด 50 Tablets

Puritan's Pride Premium - Ultra Biotin 7500 mcg 50 Tablets



สรรพคุณทั่วไป เป็นวิตามินเพื่อบำรุงสุขภาพผม เล็บ และผิวพรรณ
ราคาพิเศษ 350 บาท (จากปกติ 450 บาท) + ส่งฟรีทั่วประเทศ !!!


ประโยชน์ของ Biotin (ไบโอติน)
     - ช่วยบำรุงรักษาเส้นผมให้มีสุขภาพดี เงางาม
     - ช่วยบำรุงรักษาผิวหนังและช่วยลดการเกิดสิว
     - ช่วยบำรุงรักษาเล็บให้มีสุขภาพดี ไม่เปราะ

Biotin (ไบโอติน) เหมาะกับใคร
     - ผู้ที่ใส่ใจในสุขภาพ ความงาม และต้องการบำรุงรักษาผม เล็บ และผิวหนัง
     - ผู้ที่ทานยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียเป็นประจำ
     - ผู้ที่ชอบทานไขขาวดิบเป็นประจำ

อาการของผู้ที่ขาดวิตามินไบโอติน (Biotin)
อาการที่เรามักพบเสมอในผู้ที่มีอาการขาดวิตามินไบโอติน มีดังต่อไปนี้
     - หมดเรี่ยวแรง (Fatigue) และอาจมีอาการของการเจ็บปวดกล้ามเนื้อ (Muscle Pain) เป็นประจำ
     - มีอาการคลื่นไส้อาเจียน (Nausea) หรือความผิดปกติในระบบทางเดินอาหาร เช่น เบื่ออาหาร (Loss of Appetite)
     - มีอาการทางระบบประสาท เช่น อาการนอนไม่หลับ (Insomnia) ภาวะซึมเศร้า (Depression) ประสาทหลอน (Hallucination)
    - เกิดความบกพร่องของระบบผิวพรรณ เช่น มีอาการผิวแห้ง (Dry Skin) เป็นผื่นคัน โดยเฉพาะบริเวณรอบดวงตา จมูก ปาก และ บริเวณอวัยวะเพศ ผิวคล้ำและเป็นจ้ำ การรับสัมผัสทางผิวพรรณผิดปกติ (Sensitivity to touch) อาการผมร่วง (Hair Loss)
     - ระบบการเผาผลาญไขมันเกิดความบกพร่อง ส่งผลให้ไขมัน โคเลสเตอรอลในเลือดสูง(Increase in cholesterol) และการเผาผลาญไขมันน้อยลงกลไกการทำงานของวิตามินไบโอตินในร่างกาย (Mechanism of Action in our Body)

หน้าที่หลักของ ไบโอติน (Biotin)
     หน้าที่หลักของวิตามิน ไบโอติน (Biotin) ในร่างกายของเรา คือ การทำหน้าที่เป็นตัวร่วมเร่งปฏิกิริยาทางชีวเคมีหรือที่เราเรียกว่า โคเอ็นไซม์ (Co-enzyme) ในปฏิกิริยาต่างๆ ซึ่ง ได้แก่
     - เป็น โคเอ็นไซม์ (Co-enzyme) ในขบวนการเผาผลาญไขมัน (Fat Metabolism) ช่วยให้ร่างกายสามารถนำไขมันมาใช้ประโยชน์ได้ดีขึ้น และนำไขมันมาสร้างเป็นกรดไขมัน (Fatty Acid) ที่เป็นสารตั้งต้นของสารสำคัญในร่างกายอื่นๆ ได้ดีขึ้น
     - เป็น โคเอ็นไซม์ (Co-enzyme) ในกระบวนการสร้างสาร ไพริมิดีน (Pyrimidine) ซึ่งเป็นสารตั้งต้นที่ร่างกายนำไปใช้สร้างกรดนิวคลีอิค (Nucleic Acid) หรือ ดีเอ็นเอ (DNA) และ อาร์เอ็นเอ (RNA) ซึ่งเป็นสารทางพันธุกรรมต่อไป

ขนาดรับประทาน : วันละ 1 Tablet พร้อมมื้ออาหาร

ข้อควรระวัง : สตรีมีครรภ์หรือให้นมบุตร ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานวิตามิน

วันอังคารที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2557

[Clip VDO] วิธีดูแลดวงตา - บิลเบอร์รี่ Bilberry บำรุงสายตา

ประโยชน์ของผล บิลเบอร์รี่(Bilberry) ที่มีต่อดวงตา


ประโยชน์ของผล บิลเบอร์รี่ (Bilberry) ที่มีต่อดวงตา
- เพิ่มสมรรถภาพในการมองเห็นในที่มืดให้ดีขึ้น
- ช่วยการโฟกัสที่รวดเร็วขึ้น
- มองเห็นภาพได้คมชัดขึ้น
- ลดความเสี่ยงจากอาการตาบอด
- ปกป้องโครงสร้างของผนังเส้นเลือดฝอยในดวงตา
- ป้องกันโรคต้อชนิดต่างๆ

นอกจากนี้บิลเบอร์รี่ยังมีส่วนช่วยป้องกัน โรคเบาหวาน, โรคไทฟอยด์, นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ, โรคความดันโลหิตสูง และโรคระบบหายใจผิดปกติ ได้อีกด้วย

Cr. http://www.ihealthyplusshop.com

วันพุธที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

อาหารเสริมควบคุมน้ำหนัก บลู(Blue) ขนาด 20 แคปซูล

อาหารเสริมควบคุมน้ำหนัก บลู(Blue) ขนาด 20 แคปซูล
(เลขที่ อย 24-1-20555-1-0076)



ผลิตภัณฑ์ บลู(ฺBlue) มุ่งมั่นวิจัยและค้นคว้า คัดสรรสารสกัดคุณภาพสูงเพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์มาตราฐานสวิสเซอร์แลนด์ ปราศจากสารตกค้างและไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย 
คุณสมบัติ
     - ช่วยเผาพลาญไขมันส่วนเกินกระตุ้นกระบวนการบอลิซึ่ม ของร่างกาย 
     - ช่วยสลายไขมันหน้าท้อง
     - ช่วยบล็อกแป้ง น้ำตาล และไขมันส่วนเกินไม่ให้ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย 
     - ช่วยกระชับสัดส่วน นอกจากนี้ยังช่วยดักจับไขมัน 
     - รักษาระดับน้ำตาลในร่างกาย ทำให้ความอยากอาหารลดลง 

ส่วนประกอบ
     - Raspberry Ketone สารสกัดจากผลราสเบอรี่
     - Soy Protein สารสกัดจากถั่วเหลืองคุณภาพสูง
     - L Carnitine สารสกัดจากมะเขือเทศ
     - Garcinia Extrat สารสกัดจากส้มแขก
     - Chromium Picilinate
     - Cactus Extract สารสกัดจากต้นตะบองเพชร

ขั้นตอนการทำงานของผลิตภัณฑ์
     - Block บล็อก น้ำตาล แป้งและไขมัน
     - Burn เผาพลาญไขมันส่วนเกิน  
     - Boost เร่งกระบวนการ metabolism

วิธีรับประทาน : รับประทานวันละ 1แคปซูล ก่อนอาหารเที่ยง


ราคาพิเศษ 1,650 บาท + ส่งฟรีทั่วประเทศ !!!  สั่งซื้อได้ที่ 

http://www.ihealthyplus.com/product/5/อาหารเสริมควบคุมน้ำหนัก-บลูblue-ขนาด-20-แคปซูล

หรือติดต่อได้ที่ 
Line ID @ ihp4032 
โทร.093-0504032
www.iHealthyPlus.com

วันอังคารที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

อาหารเสริมปรับสมดุลร่างกาย Puritan's Pride - Probiotic Acidophilus with Pectin 3 billion ขนาด 100 Capsules

ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมปรับสมดุลร่างกาย 
Puritan's Pride - Probiotic Acidophilus with Pectin 3 billion ขนาด 100 Capsules



- ข้อมูลเพิ่มเติมจาก http://www.ihealthyplusshop.com/product/4/puritanaposs-pride-probiotic-acidophilus-with-pectin-3-billion-ขนาด-100-capsules


Probiotic Acidophilus with Pectin 3 billion

คุณสมบัติเบื้องต้น - ช่วยเสริมสร้างสุขภาพการทำงานของระบบการดูดซึมอาหารของลำไส้ให้ดีขึ้น ใน 1 เม็ดแคปซูล
     - สามารถให้จุลินทรีย์ที่มีชีวิตไม่น้อยกว่า 3 พันล้านตัว ที่จะช่วยปรับและเสริมสร้างสมดุลของจุลินทรีย์ที่ดีในลำไส้
     - นอกจากนี้ยังมีสารสกัดจากส้ม
Pectin ขนาด 100 มิลลิกรัมสูตรพิเศษ ที่ช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบลำไส้ให้ดีขึ้น 

ซึ่งคุณสมบัติทั้ง 2 ประการ ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ได้อย่างรวดเร็ว

วิธีรับประทาน - ผู้ใหญ่รับประทานครั้งละ 1 เม็ดหลังอาหาร

ทำไมต้องทาน Probiotic Acidophilus?
ประโยชน์แลคโตบาซิลลัส แอซิโดฟิลัส(Lactobacillus Acidophilus) ฉบับย่อ
     - ช่วยปรับสมดุลระบบย่อยอาหาร
     - ลดภาวะท้องผูก ริดสีดวงทวาร
     - แก้ปัญหากรดไหลย้อน แสบร้อนหน้าอก อันเกิดจากภาวะเครียด
     - ลดสาเหตุการเกิดสิว
     - รักษาระบบภูมิต้านทาน ให้ทำงานเป็นปกติ
     - บรรเทาปัญหาเกี่ยวกับโรคผิวหนัง อาทิ สิว หรือผิวแพ้ง่าย เป็นต้น
     - แก้ไขปัญหากลิ่นปาก กลิ่นตัว แรง
     - บรรเทาปัญหาอาการตกขาวเรื้อรัง
     - ช่วยผลิตเอมไซด์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย


วันอาทิตย์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ประโยชน์ของกรดไขมันโอเมกา-3 : Omega-3

ประโยชน์ของกรดไขมันโอเมกา-3 : Omega-3


กรดไขมันโอเมกา-3 (ω-3 หรือ omega-3) ซึ่งเป็นโครงสร้างไขมันสำคัญในสมองและจอประสาทตา เป็นกลุ่มของกรดไขมันชนิดที่ไม่อิ่มตัวสูง เป็นหนึ่งในกรดไขมันจำเป็น (Essential Fatty acid) ที่ร่างกายมนุษย์ขาดไม่ได้


            ดร.อลัน ไรอัน จาก มาร์เท็ค ไบโอไซน์ส (Martek Biosciences) นำเสนอผลการวิจัย จากการบริโภคกรดไขมันโอเมกา-3 ในเด็กอายุ 4 ขวบ ที่มีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ดี ผลดังกล่าวแสดงให้เห็นว่ายิ่งมีระดับกรดไขมันโอเมกา-3 ในเลือดมากเท่าใด เด็กก็จะทำแบบทดสอบด้านการรับรู้ได้ดีมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าในการบริโภคอาหารในแต่ละวันควรมีการผสมกรดไขมันโอเมกา-3 ในอาหารสำหรับเด็ก ซึ่งกรดไขมันโอเมกา-3 พบได้ในไขมันปลา แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านยังให้คำแนะนำว่าสตรีและเด็กควรบริโภคไขมันปลาในปริมาณที่พอดี ไม่มากจนเกินไป
กรดไขมันโอเมกา-3 มีบทบาทสำคัญต่อโครงสร้างและการทำงานของสมอง ตับ และระบบประสาทเกี่ยวกับการพัฒนาเรียนรู้ รวมทั้งเกี่ยวกับเรตินาในการมองเห็น นอกจากนี้ยังมีบทบาทสำคัญอย่างมากต่อโภชนาการและสุขภาพของคนเรา เช่น ช่วยลดระดับโคเลสเตอรอล และไตรเอธิลกลีเซอรอล (triethylglycerol) ในพลาสมา ควบคุมระดับไลโปโปรตีน (lipoprotien) และมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบและหน้าที่ของเกล็ดเลือด จึงมีแนวโน้มก่อให้เกิดผลดีในการลดอันตรายของโรคทางเดินหายใจ โรคไขมันในเส้นเลือด โรคหัวใจและโรคซึมเศร้า โอเมกา-3 พบมากในปลาทะเล และ ปลาน้ำจืดบางชนิด

วันจันทร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

8 กลุ่มอาหารป้องกันโรคหัวใจ

8 กลุ่มอาหารป้องกันโรคหัวใจ


                โรคหัวใจ นับเป็นหนึ่งโรคร้ายที่คร่าชีวิตคนไทยในแต่ละไม่น้อยเลย โรคหัวใจเป็นอีกโรคหนึ่งที่มีความสัมพันธ์กับเรื่องของอาหารและการบริโภค เมื่อเห็นความสัมพันธ์ดังนี้แล้วเรามาดูกันว่า 8 กลุ่มอาหารที่มีส่วนช่วยในการป้องกันโรคหัวใจมีอะไรกันบ้าง



                1. ปลาน้ำจืดหรือปลาทะเล ที่มีไขมัน (oily Fish) อาหารกลุ่มจำพวกนี้ ได้แก่ ปลาดุก ปลาช่อน ปลาทูน่า ปลาแซลมอน เป็นต้น ซึ่งเนื้อปลาเหล่านี้จะมีกรดไขมันโอเมก้า 3 (EPA & DHA) อยู่ไม่น้อย ซึ่งสารอาหารเหล่านี้จะมีส่วนช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับหลอดเลือด โดยจะทำให้การไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงจากการอุดตันของหลอดเลือดในร่างกาย

                2. น้ำมันพืชทีมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียวสูง โดยอาหารกลุ่มนี้ได้แก่ น้ำมันมะกอก น้ำมันรำข้าว เป็นต้น โดยใช้น้ำมันเหล่านี้มาใช้ประกอบอาหารแทนน้ำมันพืชที่มีกรดไขมันอิ่มตัวสูง อาทิ น้ำมันปาล์ม น้ำมันมะพร้าว เป็นต้น ซึ่งการหันมาใช้น้ำมันกลุ่มนี้ก็จะมีส่วนช่วยลดปริมาณคอเลสเตอรอลส่วนที่ไม่ดี(LDL-C) ลงได้ โดยที่ไม่ลดทอนคอเลสเตอรอลตัวที่ดี(HDL-C) ลง

                3. ผัก ผลไม้หลากสี นอกจากจะมีความจำเป็นต่อร่างกายในแต่ละวันแล้ว ยังมีส่วนให้สารต้านอนุมูลอิสระจำนวนมากแก่ร่างกาย อีกทั้งช่วยป้องกันการเกิดออกซิเดชั่นของ LDL-C ที่จะส่งผลทำให้เกิดผลนังหลอดเลือดหนาตัวขึ้น จนสุดท้ายนำไปสู่สาเหตุของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบได้ในอนาคต


                4. ไฟเบอร์ที่ได้จากธัญพืชที่ไม่ขัดสี อาหารกลุ่มนี้ได้แก่ ข้าวโอ๊ต ข้าวสาลี ข้าวกล้อง ซึ่งรวมไปถึงซีเรียลจากธัญพืชต่างๆ และขนมปังโอลวีท ซึ่งอาหารเหล่านี้ที่ได้ยกตัวอย่างมา มีส่วนอย่างมากที่จะช่วยให้หัวใจมีความแข็งแรง และช่วยป้องกันความเสี่ยงจากโรคหัวใจวายได้มากกว่าไฟเบอร์ที่ได้จากผักและผลไม้

                5. ถั่วเมล็ดแห้ง เช่น ถั่วลิสง วอลนัท เม็ดอัลมอนด์ จำพวกถั่วเหล่านี้นอกจากจะมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียวค่อนข้างสูงซึ่งจะช่วยลด LDL-C แล้ว ยังมีกรดอะมิโนอาจีนีนอยู่สูง ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างการทำงานของหลอดเลือด และช่วยลดความดันโลหิตได้อีกทางหนึ่ง

                6. วิตามินอี(Vitamin-E) จากธรรมชาติ จะทำหน้าที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ มีส่วนช่วยป้องกันการเกิดออกซิเดชั่นของ LDL-C เหตุนี้จึงช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดการอุดตันในผนังของหลอดเลือดแดง กลุ่มอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินอี ได้แก่ ผลอโวคาดี ผักสีเขียว น้ำมันพืชและธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสี และที่สำคัญโดยเฉพาะน้ำมันรำข้าวที่มีวิตามินอีถึง 2 กลุ่ม คือ โทโคฟีรอลและโทโคไตรอีนอล

                7. สมุนไพรและเครื่องเทศ อาหารในกลุ่มนี้ที่สำคัญเช่น กระเทียมสด ซึ่งจะมีสารอัลลิซิน ซึ่งมีส่วนช่วยลดระดับคอลเลสเตอรอลในเลือดได้ดีเยี่ยม และสารแคปไซซินในพริก ก็มีส่วนช่วยชะลอการเกาะตัวของลิ่มเลือด และเพิ่มการละลายของลิ่มเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่นำมาซึ่งภาวะหัวใจวาย

                8. อาหารที่มี Plant Sterols หรื Phytosterols สูง ซึ่งได้แก่ ธัญพืชและถั่วต่างๆ เช่น จมูกข้าว เมล็ดงา เมล็ดทานตะวัน ถั่วพิสตาชิโอ รวมทั้งน้ำมันพืชบางชนิด ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าน้ำมันรำข้าว ซึ่งปริมาณเพียง 1 ช้อนโต๊ะจะมีปริมาณ Phytosterols สูงถึง 250 มิลลิกรัม ซึ่ง Phytosterols นี้เองมีส่วนสำคัญในการช่วยลดการดูดซืมคอเลสเตอรอลในลำไส้เล็ก ทำให้ระดับคอเลสเตอรอลรวมและ LDL-C ซึ่งเป็นคอเลสเตอรอลที่ไม่ดีลดลงด้วยเช่นกัน


วันพุธที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

การดูแลหัวใจ - เคล็ดลับ 8 ประการเพื่อหัวใจที่แข็งแรง

เคล็ดลับ 8 ประการเพื่อหัวใจที่แข็งแรง


หากจะนึกถึงโรคร้ายแรงที่เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ของคนไทย แน่นอนโรคหัวใจและหลอดเลือดนับเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับต้นๆ อย่างไม่ต้องสงสัย เพราะในปัจจุบันเองผู้ที่กำลังผจญกับโรคนี้ก็นับจะมีมากขึ้นอันเนื่องมากจากแนวทางการใช้ชีวิตในปัจจุบันที่มีแต่ความเร่งรีบ แข่งขัน จนละเลยการดูและสุขภาพอย่างที่ควรจะเป็น สาเหตุหลักๆ ของการก่อให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดมาจากพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่ไม่ค่อยถูกต้องตามหลักการบริโภค นักวิชาการมองว่าหากสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคที่ไม่ถูกต้องได้ ก็สามารถช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคได้ไม่น้อย วันนี้จึงมีเคล็ดลับขั้นตอนการดูแลหัวใจ ให้แข็งแรงมาฝาก เพื่อนๆ ผู้รักสุขภาพได้ลองนำไปปฏิบัติกัน


เคล็ดลับการดูแลหัวใจให้แข็งแรง

1. จำกัดปริมาณการบริโภคไขมันที่บั่นทอนสุขภาพ และคอเลสเตอรอล

          การได้รับไขมันอิ่มตัว ไขมันชนิดทรานส์ และคอเลสเตอรอลในปริมาณมาก เป็นต้นเหตุของการเกิดหลอดเลือดอุดตัน ซึ่งท้ายที่สุดก็จะนำไปสู่โรคหัวใจ นักโภชนาการจึงแนะนำให้จำกัดการได้รับไขมันเหล่านี้ ด้วยวิธีการปฏิบัติอย่างง่าย ๆ คือ ลดการบริโภคไขมันที่มีลักษณะกึ่งแข็ง เช่น เนย มาร์การีน และเนยขาว ไขมันทุกชนิดที่เป็นไขมันสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันหมู เนย ครีม (จากนมวัว) มันหมู มันไก่ เพราะเป็นแหล่งที่สำคัญของไขมันอิ่มตัวและคอเลสเตอรอล บางอย่างอาจเป็นแหล่งของไขมันทรานส์ด้วย สังเกตได้จากฉลาก ถ้าเป็นไขมันที่ผ่านกระบวนการเติมไฮโดรเจน (Hydrogenated Fat) มักใช้ในผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ เช่น คุกกี้ แครกเกอร์ เป็นต้น

2. เลือกบริโภคอาหารโปรตีนที่มีไขมันต่ำ
         อาหารที่เป็นแหล่งโปรตีนโดยทั่วไป คือ เนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ เป็นธรรมดาที่คนส่วนใหญ่มักติดใจในเนื้อติดมัน เพราะจะมีรสชาติดี นุ่มและให้กลิ่นที่เย้ายวน แต่ไขมันจากสัตว์เป็นแหล่งของไขมันอิ่มตัว และอุดมด้วยคอเลสเตอรอล ดังนั้นในจำเป็นอย่างยิ่งที่เราควรเลือกกินเนื้อส่วนที่ไม่ติดมัน ต้องลดการบริโภคอาหารพวกขาหมู หมูสามชั้น หมูกรอบ หนังไก่ หนังเป็ด ตลอดจนไส้กรอก เบคอน เครื่องใน เป็นต้น
         หลังจากนั้นควรเลือกดื่มนมและนมเปรี้ยวหรือผลิตภัณฑ์นมที่ปราศจากไขมัน (หรือไขมันต่ำ) ส่วนไข่แดงสำหรับผู้ใหญ่หรือผู้สูงอายุเองไม่ควรกินบ่อยเกินไป เพราะในไข่แดงนั้นมีคอเลสเตอรอลอยู่สู งทางเลือกอื่นที่น่าสนใจคือ หันมาบริโภคเนื้อปลา เต้าหู้ และผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองหรือถั่วอื่น ๆ ที่มีไขมันต่ำ ก็นับเป็นอีกทางเลือกที่ดี

3. กินผักและผลไม้ให้มากขึ้น
         ผักผลไม้นอกจากแทบจะปราศจากไขมันแล้ว ยังให้วิตามิน แร่ธาตุ ใยอาหาร และสารที่มีประโยชน์อื่น ๆ ต่อร่างกายเป็นจำนวนมาก เพียงแต่ไม่ควรใส่สลัดครีมจนชุ่มหรือกินผักผลไม้ที่ผ่านกระบวนการทอด เช่น เฟรนช์ฟรายส์ กล้วยแขก มันทอด ฯลฯ มากจนเกินไป



4. เลือกธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสี
         ข้าวกล้องและขนมปังโฮลวีท เป็นตัวเลือกที่ให้คุณค่าทางโภชนาการมากกว่าข้าวที่ขัดสีจนขาว และขนมปังขาว ใยอาหารและสารอาหารอื่น ๆ ในธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสีเหล่านี้ มีผลต่อการควบคุมความดันโลหิต และช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ

5. ลดการใช้เกลือ (โซเดียมคลอไรด์) ในอาหาร
         การกินอหาหารรสเค็มจัด ซึ่งเกิดจากเกลือโซเดียมคลอไรด์หรือเกลือแกงที่มีในอาหารต่าง ๆ มากไปนั้น ไม่ใช่เรื่องดีต่อสุขภาพเท่าใดนัก เพราะเป็นปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจ เพราะฉะนั้นแล้วบริโภคได้แต่พอควร ลดการเติมเครื่องปรุงรสเค็มให้น้อยลง ไม่ว่าจะเป็นเกลือ น้ำปลา ซีอิ๊ว ซอสปรุงรส เป็นต้น

6. ปรับปริมาณการกินอาหาร
         ปัญหาใหญ่ของหลาย ๆ ประเทศที่กำลับประสบกับปัญหาโรคอ้วน และโรคเรื้อรังทั้งหลายของประชากร คือ การบริโภคอาหารที่เกินพอดี เราต้องรู้จักประมาณการ กินให้พออิ่ม เลือกปริมาณที่พอเหมาะ ถ้าหากเป็นอาหารแบบบุฟเฟ่ต์ควรหยุดเมื่อเริ่มรู้สึกอิ่ม การทานอาหารในแต่ละมื้อที่พอดี สามารถทำได้โดย ณ ขณะมื้ออาหารหากเมื่อได้รู้สึกว่าอีก 2-3 คำต่อจากนี้จะอิ่ม ให้เราหยุดรับประทานอาหาร และดื่มน้ำทันที จะทำให้มีความพอดีในการทานอาหารเกิดขึ้น

7. วางแผนล่วงหน้าในการบริโภคอาหารแต่ละวัน
         อย่างน้อยในแต่ละวันควรกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ อาจมีอาหารจำพวก ข้าว แป้ง ผักผลไม้มากหน่อย ส่วนอาหาหารจำพวกเนื้อสัตว์หรืออาหารโปรตีนให้บริโภคพอพอประมาณ และน้ำมัน (ไขมัน) น้ำตาล เกลือให้เลือกทานแต่น้อย

8. ให้รางวัลชีวิตกับตัวเองเป็นครั้งคราว
สุดท้ายแล้วอย่าเคร่งเครียดกับการใช้ชีวิตมากจนเกินไปโดยเฉพาะการบริโภคอาหาร ขอเพียงให้ในเวลาส่วนใหญ่เรากินอาหารให้ถูกหลัก ทานสิ่งที่มีประโยชน์และดีต่อสุขภาพ บางครั้งบางคราวเราสามารถให้รางวัลในการบริโภคอาหารกับตัวเองบ้าง แต่อย่าใช้เป็นข้ออ้างในการละเลยการมีพฤติกรรมการบริโภคที่ดี

         ครบ 8 วิธีการดูแลหัวใจที่ไมน่าจะยากจนเกินไปสำหรับการนำไปปฏิบัติ หากสามารถปฏิบัติจนปรับเปลี่ยนเป็นนิสัยการบริโภคที่ดีได้ เชื่อว่าหัวใจของเราจะแข็งแรงและห่างจากโรคภัยไข้เจ็บได้อย่างแน่นอน

อ้างอิง - ดร.อาณดี นิติธรรมยง สถาบันวิจัยโภชนาการ ม.มหิดล
Mayo Clinic



วันอาทิตย์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

สารอาหารบำรุงสายตากับการดูแลรักษาดวงตา

สารอาหารบำรุงสายตากับการดูแลรักษาดวงตา


               การเลือกรับประทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ต่อสุขภาพฉันใด การเลือกบริโภคอาหารที่มีส่วนช่วยบำรุงสายตาก็มีความจำเป็นต่อสุขภาพสายตาที่ดีฉันนั้นเหมือนกัน คุณดภาพการมองเห็นเป็นสิ่งที่วิเศษสุดของคนเรา ดังนั้นแล้วสุขภาพสายตาของเราควรได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างดี และไม่ควรปล่อยปละละเลยเป็นอันขาด จำเป็นอย่างยิ่งที่เราควรจะใช้ดวงตาอย่างทะนุถนอมและรู้จักดูแลบำรุงรักษาสายตาด้วยการเลือกกินอาหารที่มีสารอาหารและวิตามินบำรุงสายตา


                ลักษณะของอาหารบำรุงสายตา ที่สำคัญจะมีวิตามินเอ(Vitamin-A) สารอาหารที่ชื่อว่า ลูทีน (Lutein) และซีแซนทีน (Zeaxanthin) สารอาหารเหล่านี้เป็นสารอาหารสำคัญในอาหารบำรุงสายตาชั้นดี
                วิตามินเอ(Vitamin-A) จะได้มาจากอาหารจำพวก ตับหมู ตับไก่ ไข่แดง ฟักทอง ฯลฯ สำหรับสารอาหารลูทีน (Lutein) และ ซีแซนทีน(Zeaxanthin) นั้นเป็นสารอาหารที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่ห่วงใยสุขภาพสายตาอย่างจริงจัง และคนที่มีการทำงานโดยใช้สายตามากกว่าปกติเช่น คนที่ต้องนั่งทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ ในแต่ละวัน หรือต้องทำงานอยู่กลางแจ้งในบริเวณที่มีแสงแดดจัดจ้าอยู่บ่อยครั้ง คนที่ต้องขับรถตอนกลางคืนบ่อยๆ ซึ่งในระหว่างที่ขับมักจะถูกแสงไฟรถที่วิ่งสวนมาสาดเข้าตาบ่อยๆ ทำให้ดวงตาทำงานหนักที่ต้องคอยปรับโฟกัสตลอดเวลา หรือในลักษณะเดียวกับแสงไฟแฟลชจากกล้องถ่ายรูป ที่มักทำให้สายตาต้องทำงานหนักเมื่อเจอแสงสว่างในลักษณะนี้เช่นกัน
               สารอาหารลูทีน (Lutein) และซีแซนทีน (Zeaxanthin)นั้นมีส่วนสำคัญเกี่ยวกับจุดรับภาพของดวงตาคนเรา สารอาหารทั้งสองชนิดนี้จะช่วยกรองแสงหรือป้องกันรังสีที่จะทำให้เกิดอันตรายต่อดวงตา นอกจากนี้ยังช่วยปกป้องไม่ให้เซลล์ของจอประสาทตาถูกทำลาย ดังนั้นการบำรุงรักษาสายตาสามารถทำได้โดยรู้จักเลือกบริโภคอาหารที่มีส่วนช่วยดูแลดวงตาโดยตรงเช่นสารลูทีน(Lutein)และซีแซนทีน(Zeaxanthin) เพื่อประโยชน์ในการบำรุงสายตาของเราให้มีคุณภาพและยืดอายุให้ดวงตาของเราอยู่กับเราไปได้ยาวนานขึ้น
                อาหารที่มีลูทีน (Lutein) และ ซีแซนทีน(Zeaxanthin) ได้แก่อาหารจำพวกพืชผักผลไม้ที่มีสีเขียวเข้มและสีเหลืองเช่น ผักปวยเล้ง ผักโขม ผักคะน้าและข้าวโพด และสารอาหารที่มีความจำเป็นในการบำรุงสายตาควบคู่ไปกับลูทีน (Lutein) และ ซีแซนทีน (Zeaxanthin)ก็คือวิตามินเอ ดังได้กล่าวไปแต่ตอนต้นนั่นเอง ซึ่งได้แก่ผักผลไม้จำพวกฟักทอง ผักตำลึง แครอท ตับหมู มะละกอ มะม่วงสุก ผักบุ้ง ฯลฯ
สารอาหารเหล่านี้นอกจากนี้นอกจากจะช่วยดูแลบำรุงสายตาแล้ว สารอาหารดังกล่าวข้างต้นยังมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต้อกระจก(Cataracts) โรคกระจกตาเสื่อม(AMD) มะเร็งเต้านมและโรคหลอดเลือดหัวใจอีกด้วย


                การดูแลรักษาสุขภาพดวงตาให้มีสุขภาพดี นอกจากการรู้จักเลือกบริโภคอาหารบำรุงสายตาที่มีสารลูทีน (Lutein) ซีแซนทีน (Zeaxanthin) และวิตามินเอแล้ว ยังมีสิ่งที่จำเป็นต้องทำควบคู่กันไป เพื่อให้เกิดผลดีต่อสุขภาพของสายตานั่นคือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้สายตาในการทำงาน เมื่อต้องทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ  เช่น หันมาใช้แผ่นกรองแสงกับจอคอมพิวเตอร์และปรับลดระดับแสงสว่างจากจอคอมพิวเตอร์ให้พอเหมาะ โดยอย่าให้หน้าจอฯ สว่างจ้ามากเกินไป และเมื่อต้องทำงานที่ต้องใช้สายตามากๆ เป็นเวลานานให้รู้จักหยุดพักสายตาบ้างอย่างน้อยสัก 3-5 นาทีในแต่ละชั่วโมง และเมื่อต้องทำงานกลางแจ้งเป็นเวลานาน ควรสวมแว่นกันแดดเพื่อลดปริมาณแสงที่จะเข้ามากระทบกับตาของเรา
                สรุปแล้วการดูแลถนอมสายตา สามารถทำได้ 2 แบบคือ การเลือกรับประทานอาหารบำรุงสายตาที่มีส่วนช่วยให้ดวงตาได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อดวงตาโดยตรง และรวมไปถึงการปรับพฤติกรรมการทำงาน ที่ต้องใช้สายตามากๆจะเป็นการป้องกันและช่วยถนอมรักษาดวงตาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น หากเราสามารถปฏิบัติได้ทั้งสองแบบไปพร้อมๆ กันได้ ก็เหมือนกับเป็นการบำรุงรักษาสายตาจากภายใน (โดยผ่านการบริโภคอาหารบำรุงสายตา) และป้องกันอันตรายรบกวนกับสายตาจากภายนอก (โดยการปรับพฤติกรรมการใช้สายตา) ซึ่งจะมีผลช่วยถนอมและรักษาดวงตาให้อยู่กับเราไปได้อีกนานเท่านาน