วันอาทิตย์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

กินอาหารอย่างไรให้ถูกต้องตามฤดู


ในปีหนึ่งปีของประเทศไทยมี ฤดู ได้แก่ ฤดูร้อน ฤดูหนาว ฤดูฝน การกินก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องทีสำคัญ และต้องเลือกกินให้ตรงตามฤดูเพื่อความผ่อนคลายร่างกายของเราด้วย 
การกินในฤดูร้อน
ฤดูร้อนเป็นฤดูที่มีอากาศอบอ้าว เราควรเลือกกินอาหารที่ให้ความเย็นแก่ร่างกายของเรา ซึ่งควรเลือกอาหารที่ให้ความเย็น ได้แก่ ขนมหวานใส่น้ำแข็งป่น น้ำแข็งใส และ ไอศกรีม และควรกินผักให้มากขึ้น ลดเนื้อสัตว์ให้น้อยลง อาหารที่ใช้น้ำมันทอดก็ควรลดลง อย่างผัดๆ ทอดๆ หรือควรกินอาหารที่มีน้ำมันน้อยที่สุด เพราะนอกจากจะทำให้ร้อนแล้วยังทำให้เกิดไขมันอุดตันอีกด้วย ส่วนผลไม้ก็ควรเลือกแบบที่ให้ความชุ่มฉ่ำแก่ร่างการของเรา เช่น แตงโม ส้ม แตงกวา และยังช่วยขับปัสสาวะอีกด้วย

การกินในฤดูฝน
พออากาศปกติเราสามารถทานเนื้อสัตว์ได้เยอะกว่าเดิมไม่ใช่ว่าเยอะเกินไป ควรกินปลาให้มากๆเพราะจำทำให้กระเพาะทำงานไม่หนักเกินไป ผักสด ผลไม้ควรกินอย่างสม่ำเสมอ

การกินในฤดูหนาว
พอมีอากาศหนาวควรเลือกอาหารที่สร้างความอบอุ่นแก่ร่างกายของเรา เช่นข้าวต้ม โจ๊ก แกงจืด หรือแกงที่มีรสชาติไม่เผ็ดจนเกินไป และควรรับประทานประเภทโปรตีน เช่น นม ไข่ เนื้อสัตว์ ถั่วเหลือง และปลา ถ้ามีอากาศหนาวจัดสามารถดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้บ้างแต่ไม่ใช่ว่าเยอะจนเกินไป เพราะมันไม่ดีต่อสุขภาพ 
ในหนึ่งวันเราควรกินกี่มื้อดี
เราไม่จำเป็นต้องยึดหลักว่าต้องทานอาหารเฉพาะ มื้อเช้า มื้อกลางวัน มื้อเย็น แต่ควรรับสารอาหารให้เพียงพอแก่ร่างกาย การที่เราจะให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีอย่างสมบูรณ์ควรกิน 4-5 มื้อต่อวัน แต่ว่าแบ่งเป็นมื้อย่อย คือกินให้น้อยๆ เช่นถ้าตอนเช้ากินโจ๊กไปถ้วยเดียวก่อนเที่ยงอาจหาอะไรกินเพิ่มอีกสักอย่าง มื้อกลางวันกินก๋วยเตี๋ยว ตอนเย็นกินแกงจืด ถ้าหิวอีกตอนกลางคืนก็อาจหาอะไรกินให้มันอยู่ท้องการกินแต่น้อยๆ แต่บ่อยครั้งเป็นผลดีต่อระบบย่อยอาหารเป็นอย่างมากกว่ากินแค่ 1-2 มื้อ แต่กินในปริมาณที่เยอะๆ

ดังนั้นทุกคนต้องเลือกรับประทานอาหารให้ถูกต้องตรงตามฤดูเพื่อที่จะให้ร่างกายของเราไม่เป็นโรคแล้วยังต้องกินอาหารให้ตรงเวลาเพื่อป้องกันไม่ให้เป็นโรคกระเพาะอีกด้วย
cr. http://www.ihealthyplusshop.com/article/กินอาหารอย่างไรให้ถูกต้องตามฤดู

โภชนาการดี ชีวิตยืนยาว

           ย้อนกลับไปในสมัยก่อนคนไทยเรามีชีวิตที่เรียบง่ายอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี หายใจก็ได้อากาศอันบริสุทธิ์เข้าสู่ร่างกาย ไม่ว่าจะกิน นอน หรือทำกิจกรรมต่างๆ ก็มาจากธรรมชาติ ต่างจากปัจจุบันโดยสิ้นเชิง ที่ไม่ว่าอะไรๆ ก็เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อน ไม่ว่าจะเป็นอาหารการกิน ความเป็นอยู่ ที่ไม่มีความเป็นธรรมชาติ มีอุตสาหกรรมทำให้อากาศไม่บริสุทธิ์แม้แต่การกินยังต้องมีสารเคมีมาปรุงแต่งอาหาร
            ในสมัยก่อนเราจะสังเกตเห็นว่าคนในสมัยนั้นมีสุขภาพที่แข็งแรง แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป สภาพแวดล้อมก็เลยเปลี่ยนโดยเฉพาะคนในเมือง พอเมื่อมีการแข่งขัน ชีวิตก็เร่งรีบมากขึ้น พฤติกรรมการกินก็เปลี่ยนไป กินแต่อาหารขยะ fast food อาหารมีพิษ อาหารที่มีสารปนเปื้อน และอาหารที่มีไขมันสะสมสูง  ของเหล่านี้จะทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บได้ง่ายมากมายหลากหลายโรค
            หนุ่มสาวสมัยใหม่แก่เร็วและไม่แข็งแรง เพราะว่าไม่ค่อยได้ออกกำลังการ แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนหรอกครับ หนุ่มสาวสมัยนี้ถ้าอยากแข็งแรง ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ต้องหมั่นออกกำลังกาย และ เลือกรับประทานแต่อาหารที่มีประโยชน์ ถ้าเกิดในเซลล์เม็ดเลือดแดงมีพิษสะสมจะทำให้เกิดโรคได้อย่างง่ายดาย
            แต่ถ้าเราปรับนิสัยการกินใหม่ และศึกษาความรู้เรื่องโภชนา เราทุกคนก็จะแข็งแรง เพราะรู้จักเลือกกิน รู้จักเลี่ยงอาหารที่มีคุณมากกว่าโทษ
            อาหารแต่ละอย่างแต่ละชนิดมีสรรพคุณต่างออกกันไป แต่ก็เป็นยาดีที่สามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้เราได้ช่วยต่อต้านโรคบางอย่างและลดความเสื่อมของเซลล์ในอวัยวะต่างๆ ทำให้ไม่แก่เร็ว ไม่เจ็บป่วยง่าย

            เมือร่างกายของเราแข็งแรง สุขภาพจิตก็จะมีความสุขไปด้วยและดำเนินชีวิตกิจกรรมต่างๆไปได้อย่างยาวนานเพียงเท่านี้สุขภาพของเราก็จะไม่มีปัญหาอีกต่อไป และอายุยืนนาน

วันพุธที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2558

เปลี่ยนผมเสียเป็นผมสวย ด้วยสมุนไพร

เปลี่ยนผมเสียเป็นผมสวย  ด้วยสมุนไพร
                การมีผมหนานุ่ม ยาวสลวย ตั้งแต่โคนจรดปลายนั้นเป็นสิ่งที่ผู้หญิงอย่างเราใฝ่ฝัน หากใครที่กำลังประสบปัญหาผมแห้งเสีย ชี้ฟู ไม่มีน้ำหนักจัดทรงยากอยู่ละก็ แนะนำให้ลองทำตามสูตรต่อไปนี้เลย
                มะกรูด นำมะกรูด 1- 2 ลูก มาย่างไฟอ่อนๆ หรือจะใช้แบบสดๆเลยก็ได้ จากนั้นคั้นเอาแต่น้ำมาชโลมหมักให้ทั่วศรีษะ ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาทีแล้วล้างออก มะกรูดจะช่วยลดความมันและบำรุงให้ผมนุ่มสลวยมีน้ำหนักยิ่งขึ้น
                อัญชัน เป็นพืชที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่โดดเด่น และนอกจากดอกสีม่วงที่สวยงามแล้ว อัญชันยังมีสรรพคุณช่วยให้ผมดกดำ เงางาม ด้วยการนำดอกอัญชันมาสัก 1 กำมือ บดขยี้ผสมกับน้ำ กรองเอากากออกนำมาหมักชโลมเส้นผม 15-30 นาทีแล้วสระผมตามปกติ ทำเป็นประจำอย่างน้อย 1-2 เดือน ช่วยฟื้นฟูผมทำสีให้กลับมาดกดำเงางามได้
                น้ำซาวข้าว หากเป็นสมัยก่อนที่มีการหุงข้าวแบบเช็ดน้ำคงง่ายที่จะได้น้ำซาวข้าว แต่ปัจจุบันมีหม้อหุงข้าวแบบอัตโนมัติ เราเลยไม่รู้จักน้ำซาวข้าวกันซะเท่าไหร่ แต่ก็มีวิธีง่ายๆโดยการคัดเอาน้ำจากการล้างซาวข้าวครั้งที่ 2 ก็เป็นอันใช้ได้
นำน้ำซาวข้าวมาสระผม แล้วตามด้วยการสระผมด้วยแชมพูปกติ หรือผสมน้ำมะกรูด ช่วยขจัดรังแค ทั้งยังบำรุงให้ผมนุ่มลื่นสลวย
                กล้วยหอม เป็นที่ทราบกันดีว่าแล้วว่า กล้วยหอมนั้นช่วยให้ผิวนุ่มชุ่มชื่น ลดเลือนริ้วรอยได้แล้ว ยังสามารถช่วยให้ผมนุ่มสุขภาพดีได้เช่นกัน ด้วยการนำกล้วยหอม 1-2 ปั่นจนเป็นเนื้อครีมหมักทุกครั้งก่อนสระผม 15 นาที ช่วยบำรุงให้เส้นผมที่ชี้ฟู มีน้ำหนักและจัดทรงง่าย
ชะอม ส่วนมากนิยมนำไปประกอบอาหาร แต่ยังไม่ค่อยมีใครได้รู้ถึงสรรพคุณที่พิเศษอีกอย่างคือ ชะอมสามารถคืนสภาพเส้นผมที่แห้งเสีย กลับมาเงางามได้ โดยการนำเอาชะอมมาสัก 1 กำมือ ต้มกับน้ำ คั้นและกรองเอาน้ำทิ้งให้เย็นแล้วนำมาสระผม ช่วยเรื่องผมแห้งเสียแตกปลายได้
                ว่านหางจระเข้ เพิ่มความชุ่มชื่นให้เส้นผมด้วยการนำวุ้นจากว่านหางมาปั่นแล้วหมักชโลมทิ้งไว้ 20 นาที ก่อนสระผมจะช่วยฟื้นฟูผมที่แห้งเสีย หยาบกร้าน ให้กลับมาแข็งแรงสวยได้ดั่งใจ
                มะพร้าว สามารถใช้น้ำมันมะพร้าวที่ขายตามท้องตลาด ห้างสรรพสินค้าต่างๆ หรือจะใช้มะพร้าวที่ทำกะทินำมาเคี่ยวจนได้น้ำมัน ใช้ชโลมนวดเส้นผม ทิ้งไว้ 15-20 แล้วจึงสระล้างออก ช่วยรักษาผมแตกปลายและช่วยให้ผมนิ่มลื่นขึ้น

                นอกจากสมุนไพรใกล้ตัวที่หาใช้ได้ง่ายแล้ว วิธีที่จะช่วยให้ผมเสียมาเป็นผมสวยได้อีกทางหนึ่งก็คือ การเลือกใช้แชมพูที่มีสูตรเหมาะกับสภาพหนังศรีษะ เช่น ลดการขาดร่วง ขจัดรังแค อ่อนโยนถนอมเส้นผม เป็นต้น 

วิธีดูแลผิวใบหน้าให้สวยใสเป็นธรรมชาติ

เชื่อว่าการที่มีผิวสุขภาพดีนั้นเป็นที่ใฝ่ฝันของสาวๆหลายคนเลย วันนี้เราจึงมีวิธีง่ายๆที่จะช่วยฟื้นฟูผิวให้กลับมาสวยใสกันค่ะ
 
             นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ  ร่างกายคนเราโดยเฉลี่ยแล้วควรพักผ่อนให้ได้วันละประมาณ 7-8 ชั่วโมง เพราะจะช่วยให้ฮอร์โมนในร่างกายนั้นทำงานและปรับสมดุล ซ่อมแซมผิวและส่วนที่สึกหรอ ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการนอนคือ เวลา 22.00 น. ยิ่งได้นอนเร็ว ยิ่งดีต่อผิว เพราะจะได้รับการฟื้นฟูอย่างเต็มที่ทำให้ผิวเปล่งปลั่งสดใสในทุกๆเช้าที่ตื่นขึ้นมา
รับประทานผักและผลไม้ นอกจากจะพักผ่อนให้เพียงพอแล้วยังต้องรู้จักเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น  ผักและผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง อย่าง ส้ม แอปเปิล มะเขือเทศ สัปปะรด ฝรั่ง สตรอเบอร์รี่ ล้วนแต่ช่วยให้ผิวพรรณของเราสวยเปล่งปลั่งสุขภาพดีได้ค่ะ
ออกกำลังกาย อย่างน้อยวันละ 30 นาที จะช่วยให้เลือกนั้นไหลเวียนไปเลี้ยงส่วนต่างๆได้ดี และเป็นการกำจัดของเสียที่อยู่ในร่างกายผ่านทางรูขุมขน  ออกมาเป็นเหงื่อ ดังนั้นเราจึงควรหมั่นออกกำลังกายทุกๆวันโดยเฉพาะช่วงเช้า ที่จะเป็นการอุ่นเครื่องร่างกายเพื่อให้พร้อมทำงานในแต่ละวัน
 ล้างหน้าให้สะอาด ยิ่งสาวๆที่ชอบแต่งหน้า ยิ่งต้องใส่ใจขั้นตอนในการล้างหน้า ควรเช็ดล้างเครื่องสำอางออกให้หมดจด จนมั่นใจได้ว่าไม่เหลือคราบเสียก่อน ด้วย make up remover จากนั้นใช้ล้างหน้าด้วยโฟมล้างหน้าที่เหมาะกับสภาพผิวของแต่ละคน เช่น คนผิวมันแนะนำให้ทำความสะอาดด้วยเจลล้างหน้า ผิวที่บอบบางแพ้ง่ายนั้นควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนต่อผิว และไม่ควรล้างหน้าบ่อยเกินไป เพราะจะทำให้ผิวแห้งขาดความชุ่มชื่น ควรล้างหน้าอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น ก็เพียงพอแล้ว


 

                การบำรุงผิว การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะกับสภาพผิว  ก่อนออกแดด 30 นาที ควรทาครีมกันแดด เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวโดนทำร้าย โดยเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF ที่เหมาะสมกับกิจกรรมในแต่ละวัน
                 การทำสปาผิว  พอกผิว  ขัดผิว อย่างน้อย สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง เพื่อผลัดเซลล์ผิวใหม่และบำรุงให้เนียนนุ่มขาวใสด้วยการพอกผิว เช่น การพอกด้วยสมุนไพร  เป็นต้น
                งดดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนหรือแอลกอฮอล์ เพราะจะทำให้ผิวหน้าหมองคล้ำไม่สดใส และผู้หญิงไม่ควรสูบบุหรี่ นอกจากจะทำให้ริมฝีปากคล้ำแล้ว ยังทำให้เสียบุคลิกภาพอีกด้วย
                หากิจกรรมที่ทำแล้วผ่อนคลาย สบายใจ เช่น  การดูหนัง อ่านหนังสือ นั่งสมาธิ เล่นโยคะ หรือการคิดในแง่บวก อยู่กับธรรมชาติ ปล่อยวางและทำจิตให้สงบ จะช่วยให้ลดความเครียดได้ เมื่อไม่เครียดก็จะได้ทั้งสุขภาพผิว กาย ใจ ที่ดี

                สิ่งเหล่านี้เป็นวิธีพื้นฐานง่ายๆที่ทุกคนสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้  รับรองว่าผิวสวยจากภายในสู่ภายนอกแน่นอนจ้า

http://www.ihealthyplusshop.com/article/วิธีดูแลผิวใบหน้าให้สวยใสเป็นธรรมชาติ

วันอังคารที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

วิธีปกป้องดวงตาจากภัยร้าย เมื่อชีวิตติดจอ 7.2 ชั่วโมงต่อวัน

วิธีปกป้องดวงตาจากภัยร้าย เมื่อชีวิตติดจอ 7.2 ชั่วโมงต่อวัน


โดย..รศ.ดร.สุรพจน์ วงศ์ใหญ่   วิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก ม.รังสิต
          เมื่อคนยุคใหม่มีไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตแบบ "ชีวิตติดจอ" ในชีวิตประจำวันดวงตาของเราต้องเผชิญกับภัยรูปแบบต่างๆ ที่มาจากแสงจากจอคอมพิวเตอร์ จอแท็บเล็ต หรือจอสมาร์ทโฟนในการทำงาน เรียนหนังสือ อัพเดทสถานะโซเชียลมีเดีย เล่นเกม ดูหนัง ส่งข้อความ ซื้อของออนไลน์ ค้นหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ต ฯลฯ พฤติกรรมเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ทำให้ดวงตาต้องรับบทหนัก ต้องเพ่ง ต้องจ้องหน้าจอต่างๆ อยู่ตลอดเวลา ซึ่งส่งผลให้เกิดปัญหาสายตาต่างๆ ตามมา
          สอดคล้องกับผลการสำรวจพฤติกรรมผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย ปี พ.ศ. 2557 ซึ่งจัดทำโดยกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร พบว่าปัจจุบันคนไทยมีพฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตเฉลี่ยถึง 7.2 ชั่วโมง/วันซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่สูงมาก และนอกจากนี้ที่น่าเป็นห่วงคือมีแนวโน้มค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้นทุกปี ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพดวงตาโดยตรง โดยที่ดวงตาของเราถูกทำร้ายโดยไม่รู้ตัว เพราะการที่จดจ่ออยู่กับงานหรือเนื้อหาต่างๆ จากหน้าจอนานๆ ทำให้ดวงตาต้องทำงานหนัก บางทีเผลอลืมกระพริบตาจนทำให้เกิดภาวะตาแห้ง หรือลืมเปลี่ยนอิริยาบถเพื่อละสายตาจากหน้าจอ การที่ดวงตาต้องเจอกับแสงจ้าจากหน้าจอดังกล่าว ส่งผลให้มีอนุมูลอิสระสะสม จนอาจจะทำให้เกิดความผิดปกติเกิดขึ้นกับดวงตาของเราได้ เช่น อาจจะเกิดการระคายเคือง น้ำตาไหล ตาแห้ง ตาอักเสบ เกิดสายตาพร่ามัว จากกล้ามเนื้อตาอ่อนล้า มีอาการมองเห็นภาพซ้อน รวมถึงอาการแพ้แสง เป็นต้น
          ฉะนั้นเราควรเริ่มดูแลและถนอมสายตาตั้งแต่เนิ่นๆ ก่อนสายเกินแก้ เพราะดวงตาของเราเป็นอวัยวะที่สำคัญมีคู่เดียวไม่มีอะไหล่เปลี่ยน บางคนถึงกับเปรียบว่ายอมเสียแขนขาดีกว่าเสียดวงตาทั้งคู่ไป โดยวิธีการป้องกันดวงตาเบื้อต้นเริ่มจาก
      - หมั่นกระพริบตาบ่อยๆ อย่างน้อย 10-15 ครั้ง/นาที 
      - นั่งทำงานในที่มีแสงสว่างเพียงพอ 
      - ปรับขนาดตัวหนังสือให้อ่านง่าย ไม่เล็กเกินไป 
      - ที่สำคัญควรเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อการบำรุงสายตา เช่น ผักและผลไม้ต่างๆ โดยเฉพาะผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ เช่น บิลเบอร์รี่ สตรอเบอร์รี่ แครนเบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ และแบล็คเคอร์แรนต์ เป็นต้น เพราะผลไม้ตระกูลเบอร์รี่เหล่านี้มีวิตามินเอและแอนโธไซยานินสูง ที่มีผลงานวิจัยระบุว่า
      วิตามินเอช่วยในการมองเห็น และยังมีส่วนช่วยป้องกันการเกิดภาวะตาแห้ง
      ส่วนแอนโธไซยานิน ช่วยคลายความเหนื่อยล้าของดวงตา ช่วยปกป้องจอประสาทตา ช่วยให้การมองเห็นในเวลากลางคืน และช่วยให้การไหลเวียนเลือดในเส้นเลือดฝอยดีขึ้น
      นอกจากนี้ยังมีวิตามินซี อี และไบโอฟลาโวนอยด์ ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ มีส่วนช่วยปกป้องและถนอมดวงตาไม่ให้โดนทำลาย
          ที่สำคัญอีกหนึ่งประการ เพื่อสุขภาพที่ดีของดวงตา นอกจากการเติมสารอาหารให้ดวงตาด้วยผลไม้ตระกูลเบอร์รี่และการพักสายตาเป็นระยะๆ แล้ว เราควรดื่มน้ำมากๆ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ และไม่ใช้สายตาทำงานหักโหมมากจนเกินไป วิธีการเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นวิธีที่ช่วยเสริมเกราะป้องกันดวงตาจาก “ชีวิตติดจอ” ในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี

ความสำคัญของผลไม้ตระกูลเบอร์รี่      
 
 "ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ มีวิตามินเอและแอนโธไซยานินสูง ผลงานวิจัยระบุว่า วิตามินเอช่วยในการมองเห็น ช่วยป้องกันการเกิดภาวะตาแห้ง ส่วนแอนโธไซยานิน ช่วยคลายความเหนื่อยล้าของดวงตา ช่วยปกป้องจอประสาทตา ช่วยให้การมองเห็นในเวลากลางคืน และช่วยให้การไหลเวียนเลือดในเส้นเลือดฝอยดีขึ้น"

      
อ้างอิง:
        เนื้อหาจาก หนังสือพิมพ์มติชน [ วันที่ 06/02/2558 ]
         รายงานผลการสำรวจพฤติกรรมผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย  ปี 2557 Thailand Internet User ProB le 2014, เรียบเรียงโดย ส่วนงานดัชนีและสำรวจ สำนักยุทธศาสตร์ สำนักงานพัฒนาธุรกรรม ทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร


ประโยชน์ขององุ่นนานาพันธุ์

ประโยชน์ขององุ่นนานาพันธุ์
องุ่น มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ คือ Vitis vinifera Linn นับว่าเป็นผลไม้ยอดนิยมสำหรับใครหลายๆ คนเลยทีเดียว โดยเฉพาะเสน่ห์ของรสชาติที่มาพร้อมกับความเปรี้ยวอมหวานที่โดนใจเป็นอย่างยิ่ง และนอกจากในรูปแบบการบริโภคเนื้อองุ่นแล้ว ใบองุ่นก็ยังนิยมนำมาสกัดและเป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางอย่างหลากหลาย ร่วมถึงผลิตภันฑ์บำรุงผิวต่างๆ 
            ในองุ่นมีสารอาหารมากมายที่ร่างกายต้องการ และมีส่วนในการสร้างภูมิคุ้มกันรักษาป้องกันโรคต่างๆ ได้อย่างมากมาย อาทิ
ช่วยให้ผนังหลอดเลือดแข็งแรง ลดความเสี่ยงต่อการจับตัวของก้อนเลือด และลดโคเลสเตอรอลชนิดแอลดีแอล (ไขมันไม่ดี) เหตุนี้จึงช่วยป้องกันโรคเกี่ยวกับระบบเลือดและหัวใจได้ดีเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติช่วยลดริ้วรอยและทำให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่นมากขึ้น อีกด้วย ทั้งนี้องุ่นที่เราพบเห็นและผู้คนนิยมบริโภคกันทั่วไป จะแบ่งเป็น 3 ชนิดใหญ่ ได้แก่ 1). องุ่นแดง  2).องุ่นดำ  3). องุ่นเขียว
โดยในองุ่นจะประกอบด้วยสารอาหารหลักๆ คือ ฟรุกโตส กาแลกโตส กลูโคส ซึ่งเหล่านี้เป็นน้ำตาลที่ร่างกายต้องการใช้เพื่อสร้างพลังงาน เพื่อช่วยเร่งการเผาผลาญในร่างกาย และกระตุ้นให้ตับทำหน้าที่ฟอกเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้องุ่นยังอุดมไปด้วยวิตามิน  B1, B2, A, C และเกรือแร่ เราจึงเห็นเครื่องดื่มบำรุงกำลังบางชนิด นำองุ่นมาเป็นส่วนผสมร่วม เพราะร่างกายของเราสามารถดูดซึมน้ำตาลจากองุ่นได้ง่ายนั่นเอง 
            
จากการ วิจัยของนักวิทยาศาสตร์ เมืองนิวยอร์ก ประเทศอเมริกา พบว่า ในองุ่นมีสารต้านอนุมูลอิสระที่เรียกว่าPolyphenols ซึ่งส่วนใหญ่เราจะสามารถบริโภคได้ในรูปของน้ำองุ่นหรือไวน์แดง สาร Polyphenols นี้มีส่วนช่วยให้คนเรา มีอายุสมองที่ยาวนานและแข็งแรงขึ้น ทำให้สามารถทำงานและจดจำสิ่งต่างๆ ได้เป็นอย่างดีถึงแม้จะอายุมากแล้วก็ตาม การบริโภคองุ่นทุกวันจึงมีส่วนทำให้สมองปลอดโปร่ง และรู้สึกสดชื่นขึ้นได้

ประโยชน์สรรพคุณขององุ่นดำ
องุ่นดำ เป็นองุ่นที่มีกระแสมาแรงในช่วงนี้ ผู้ที่มีความต้องการที่จะลดพุง หรือลดไขมันส่วนเกินในร่างกาย องุ่นดำสมารถช่วยได้ ทั้งนี้เพราะองุ่นดำเป็นผลไม้ ที่มีไฟเบอร์สูงช่วยในเรื่องการเผาพลานไขมันได้ดี และช่วยลดความอยากรับประทานอาหารได้เนื่องจากมีใยอาหารสูง ความหวานในองุ่นดำ เป็นความหวานที่ได้จากฟรุกโตส ซึ่งเป็นน้ำตาลผลไม้ที่ให้พลังงานสูง ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้โดยไม่ต้องเปลี่ยนไปอยู่ในรูปแบบของคาร์โบไฮเดรต อีกทั้งองุ่นเป็นผลไม้ที่ไม่มีไขมัน ดังนั้นผู้ที่ชื่นชอบความหวาน การบริโภคองุ่นจึงทิ้งความกังวลเรื่องความอ้วนไปได้เลย นอกจากนี้ในองุ่นดำยัง มีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ (Antioxidantช่วยขับล้างสารพิษในลำไส้ ทำให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ปกติ ปัจจุบันองุ่นดำยังนับว่ามีราคาสูงเมื่อเทียบกับองุ่นชนิดอื่นๆ

ประโยชน์สรรพคุณขององุ่นเขียว 
องุ่นเขียว นับเป็นองุ่นที่หาบริโภคได้ง่ายที่สุด ช่วยลดภาวะเสี่ยงที่จะเกิดโรคมะเร็ง และมีประโยชน์อย่างมากกับผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็ง ในองุ่นเขียวนอกจากจะมีสารอาหารหลักที่ร่างกายต้องการมากมาย อาทิเช่น วิตามิน A, C, B1, B2แล้ว ยังมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์(antioxidant) ที่ประกอบด้วย คาเตชิน (Catechin) และเทอร์ซอทิลบีน (Ptersotilbene) มีสรรพคุณช่วยยับยั่งการเจริญของสาร oxident ที่เป็นสารก่อให้เกิดอนุมูลอิสระ อันเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคมะเร็งชนิดต่างๆ อาทิ มะเร็งในลำไส้ มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก และโรคมะเร็งอีกหลายชนิดที่มีสาเหตุมาจากอนุมูลอิสระในร่างกาย ทั้งนี้องุ่นเขียวยังช่วยในเรื่องของการผลัดเซลล์ผิวทำให้ผิวพรรณดูเปล่งปลั่งขึ้นได้

ประโยชน์สรรพคุณขององุ่นแดง
องุ่นแดง ประกอบด้วยสารอาหารป้องกันโรคและช่วยเสริมสร้างความงามให้กับผิวพรรณ นั่นเพราะต้องอาศัยความพิถีพิถันเป็นอย่างมากในการปลูก จึงทำให้องุ่นแดงมีราคาแพงมากที่สุดในเหล่าบรรดาองุ่นชนิดอื่น องุ่นแดงอุดมไปด้วยวิตามิน A,B1, B2 เกลือแร่ ธาตุเหล็ก น้ำตาลฟรุกโตส กาแลกโตส ซูโครส ที่ร่างกายสามรถดูดซึมได้ทันที โดยไม่ต้องรอให้น้ำตาลเปลี่ยนมาอยู่ในรูปของคาร์โบไฮเดรต เหตุนี้จึงทำให้ผู้บริโภคหายกังวลเรื่องความอ้วนไปได้เลย
องุ่นแดงมีสรรพคุณในการป้องกันโรคต่างๆ ได้อย่างมากมาย ในองุ่นแดงมีสารสำคัญอย่าง ฟลาโวนอยด์ (flavonoid) เป็นสารที่มีส่วนในการยับยั้งและต้านอนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งชนิดต่างๆ ได้เช่นเดียวกับองุ่นชนิดอื่นๆ และสารแอนโธไซยานิน ที่ช่วยซ่อมแซมส่วนประสาท ช่วยขยายหลอดเลือด ทำให้โลหิตหมุนเวียนได้ดีขึ้น จึงช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง อมชมพูดูเป็นธรรมชาติ และในการรับประทานองุ่นแดง ยังช่วยลดคอเลสเตอรอล (Cholesterol) จึงมีส่วนช่วยลดภาวะการเกิดโรคหัวใจได้อีกด้วย 


ประโยชน์ขององุ่นที่มีต่อผิวพรรณ
ปัจจุบันนิยมนำเอาเมล็ดองุ่นมาสกัด แล้วนำสารที่สกัดที่ได้มาเป็นส่วนผสมสำคัญในผลิตภันฑ์อาหารเสริม หรือเครื่องสำอางประเภทต่างๆ เป็นอย่างมาก เพราะสารสกัดจากเมล็ดองุ่น มีวิตมินซีสูงกว่า ผลมะนาว ถึง20เท่า เหตุนี้ผู้คนจึงหันมานิยมผลิตภันฑ์เสริมความงาม ที่มีส่วนผสมของเมล็ดองุ่นกันเป็นอย่างมาก
ในเมล็ดองุ่นจะมีสารจำพวก Oligoneric Proantho Cuanidin(OPC) ซึ่งมีปะโยชน์ช่วยสร้างคอลาเจนธรรมชาติให้กับผิวพรรณ ทำให้หน้าดูเต่งตึงอ่อนวัยป้องกันริ้วรอย ฝ้ากระ ตีนกา รอยเหี่ยวย่นบนผิวหนัง ด้าวยความที่องุ่นมีวิตามินที่สูง ดังนั้นนักจากช่วยเสริมสร้างสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงแล้ว ยังช่วยให้ผิวพรรณ สวยใสแลดูอ่อนเยาว์ตลอดเวลา
cr. http://www.ihealthyplusshop.com/article/ประโยชน์ขององุ่นนานาพันธุ์

Review : อาหารเสริมบำรุงสายตา Puritan's Pride Bilberry ดีหรือไม่?

ความน่าเชื่อถือของผลิตภัณฑ์และบริษัทผู้จัดจำหน่าย

          อาหารเสริมบำรุงสายตา Puritan's Pride Bilberry อาหารเสริมที่มีคุณสมบัติในการดูแลและบำรุงสายตา และได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งบริษัทผู้จัดจำหน่ายหลักคือบริษัท Puritan's Pride. Inc บริษัทผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารเสริมบำรุงสุขภาพชั้นนำในอเมริกา ซึ่งก่อตั้งมายาวนานนับ 50 กว่าปี ดังนั้นด้วยระยะเวลาการก่อตั้งที่ยาวนานจึงมั่นใจได้ถึงความน่าเชื่อถือเป็นอย่างมาก 
           และในด้านความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์ทุกๆ ผลิตภัณฑ์ของบริษัท Puritan's Pride. Inc  อยู่ภายใต้มาตรฐานการผลิต GMP ดังนั้นจึงมั่นใจได้ถึง ความสะอาด ปลอดภัยในการบริโภค ซึ่งในที่นี้รวมถึงผลิตภัณฑ์ Puritan's Pride Bilberry ทุกๆ ขนาดด้วยเช่นกัน               
ประโยชน์ของบิลเบอร์รี่ (Bilberry) ที่มีต่อสุขภาพดวงตา
          1. ทำให้การมองเห็นในที่มืดดีขึ้น
          2. ช่วยบรรเทาอาการตาพร่ามัวในตอนกลางคืน ( Night blindness)
          3. ช่วยลดอาการเมื่อยล้าของดวงตา เมื่อใช้สายตาในการทำงานหรืออยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ
          4. ช่วยป้องกันเลนส์ตาและช่วยให้คอลลาเจนในตาในส่วน cornea และหลอดเลือดฝอยแข็งแรงขึ้น
          5. ช่วยลดอนุมูลอิสระในจอตา ทำให้ป้องกันอาการเสื่อมที่มักจะเกิดกับดวงตาให้น้อยลงได้ เช่น ต้อกระจก ต้อหิน ต้อเนื้อ ตาเสื่อมในคนสูงอายุ(สายตายาว)
          นอกจากนี้บิลเบอร์รี่ยังมีส่วนช่วยป้องกัน โรคเบาหวาน, โรคไทฟอยด์, นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ, โรคความดันโลหิตสูง และโรคระบบหายใจผิดปกติ ได้อีกด้วย

ขนาดรับประทานที่เหมาะสม
          ขนาดรับประทาน Puritan's Pride Bilberry ที่เหมาะสมกับคนไทยคือขนาด 1,000 mg (โดยมีขนาดบิลเบอร์รี่สกัดผสมอยู่ในปริมาณ 1 ใน 4 หรือราว 250 mg/เม็ด) ซึ่งในปริมาณนี้ถือว่าเพียงพอต่อความต้องการของผู้ที่มีสายตาปกติทั่วไป แต่สำหรับผู้ที่มีสายตาที่ผิดปกติ อาทิเช่น โรคต้อชนิดต่างๆ, สายตาสั้น-ยาว, หรือผู้ที่ใช้สายตาอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์หรือต้องเจอกับแสงจ้าตลอดเวลา ขนาดที่เหมาะสมในการรับประทานต่อวัน จึงอยู่ที่ราวๆ 2,000 mg หรือรับประทาน 2 เม็ดต่อวันนั่นเอง
          โดยวิธีรับประทาน ให้รับประทานวันละ 1-2 ครั้ง ครั้งละ 1 เม็ด หลังอาหารทันที (ผู้ที่มีอาการทางสายตาหรือผู้ที่ใช้สายตาทำงานมากกว่าปกติขนาดรับประทานที่แนะนำคือ วันละ 2 ครั้ง ตามแต่มื้ออาหารที่สะดวก)     

ระยะเวลาเท่าใดจึงจะเริ่มเห็นผล?
          โดยทั่วไปหลังรับประทานแล้ว 1 เดือน จะเริ่มเห็นผลว่าสายตาเริ่มมีประสิทธิภาพในการทำงานดีขึ้น แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยแต่ละบุคคล เพราะปัญหาสายตานั้นมักเกิดจากการถูกละเลยในการบำรุงดูแลมาเป็นระยะเวลายาวนาน แต่โดยทั่วไประยะเวลาที่เริ่มเห็นผล จะอยู่ราวๆ 1-2 เดือนหลังรับประทาน   
ราคาและสถานที่จัดจำหน่าย
                อาหารเสริมบำรุงสายตา Puritan's Pride Bilberry 1000 mg. ขนาด 90 softgels 
ราคากระปุกละ  450 บาท(ส่งฟรีทั่วประเทศ)

โดยหาซื้อออนไลน์ได้ที่เว็บไซต์ www.ihealthyplusshop.com  
 หรือผ่านลิงค์นี้ http://www.ihealthyplusshop.com/product/2/อาหารเสริมบำรุงสายตา-puritanaposs-pride-bilberry-1000-mg-90-softgels
หรือติดต่อโดยผ่าน Line ID @ ihp4032  
เบอร์โทรศัพท์ 093-0504032 

วันเสาร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

เตือนภัย !! 4 โรคตา ภัยใกล้ตัวมนุษย์ออฟฟิศ

เตือนภัย !! 4 โรคตา ภัยใกล้ตัวมนุษย์ออฟฟิศ
1. โรคคอมพิวเตอร์ วิชชันซินโดรม
.....อาการ - มองเห็นภาพซ้อน, สายตาโฟกัสช้ากว่าปกติ, ระคายเคืองดวงตา แสบตา ตาแห้ง ดวงตาล้าง่าย

2. โรคจอประสาทตาเสื่อม
.....อาการ - ภาพที่มองเห็นมีสีซีดจางต่างไปจากเดิม จนดูไม่เป็นธรรมชาติ, อ่านหนังสือลำบาก, แยกแยะหน้าคนยาก, เห็นจุดดำที่บริเวณศูนย์กลางของภาพ

3. โรคต้อหิน
.....อาการ - สายตาพร่ามัว, เวียนหัว คลื่นไส้ อาเจียน อันเนื่องมาจากการทำงานผิดปกติของสายตา, เห็นดวงไฟที่มีแสงจ้า เป็นรัศมีเป็นวงกระจาย

4. โรควุ้นในตาเสื่อม
.....อาการ - มองเห็นภาพคราบดำๆ เหมือนหยากไย่ลอยไปมา และนับวันอาการเหล่านี้ยิ่งปรากฏบ่อยและยาวนานขึ้น โดยไม่มีทีท่าจะเบาบางลง, ภาพแบ็คกราวน์ หรือภาพฉากหลังจุดที่โฟกัส มีสีสว่างจนทำให้ตาพร่ามัว ส่งผลให้มองเห็นภาพที่ต้องการโฟกัสไม่ชัดเจน
เคล็ดลับเบื้องต้นในการบำรุงสายตา
.....1. พักสายตาจากการทำงานทุกๆ 1 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการเมื่อยล้าของดวงตา
.....2. ตรวจสุขภาพดวงตา อย่างน้อยๆ ปีละครั้ง
.....3. รับประทานอาหาร ที่มีส่วนช่วยดูแลและบำรุงสายตา อาทิเช่น อาหารกลุ่มวิตามินเอ เป็นส่วนประกอบ ซึ่งได้แก่ ถั่ว แครอท เป็นต้น หรือผลไม้ตระกูลเบอรี่ อย่างบิลเบอรี่(Bilbery) เป็นต้น


อาหารเสริมผิวขาวอมชมพู Puritan's Pride Lycopene 40 mg. ขนาด 60 Softgels

อาหารเสริมผิวขาวอมชมพู Puritan's Pride Lycopene 40 mg. ขนาด 60 Softgels


ราคาพิเศษ 860 บาท + ส่งฟรีทั่วประเทศ !!!
(จากปกติ 950 บาท)


สั่งซื้อได้แล้ววันนี้ที่...

ขนาดรับประทาน:ทานวันละ 1 เม็ด หลังอาหารเช้าหรือเย็น

มาทำความรู้จักกับสารไลโคปีน (Lycopene)
          สารไลโคปีน (Lycopene) จัดเป็นสารประกอบในกลุ่มแคโรทีนอยด์ชนิดหนึ่งในบรรดา 600 ชนิด พบได้ในพืชจำพวก มะเขือเทศ แตงโม เกรพฟรุตสีชมพู ฝรั่งสีชมพู และมะละกอ  และผลไม้ที่มีสีแดงอื่นๆ ซึ่งสารดังกล่าวมีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งพบว่าสูงกว่าวิตามินอี ถึง 100 เท่า และสูงกว่ากลูต้าไธโอนถึง 125 เท่า ดังนั้นการรับประทานผักผลไม้ที่ให้สารไลโคปีนสูง จึงมีส่วนช่วยบำรุงผิวพรรณขาวใสอมชมพู ปกป้องผิวจากแสงแดด ได้อีกด้วย
          จากผลการศึกษาพบว่า “ไลโคปีน” เป็นสารประกอบที่มีประโยชน์ต่อ สุขภาพและกำลังได้รับความนิยมในวงกว้าง เพราะมีส่วนช่วยการลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งที่อวัยวะต่างๆ โดยที่เด่นชัดที่สุด คือ มะเร็งต่อมลูกหมาก รองลงมา คือมะเร็งปอด มะเร็งในกระเพาะอาหาร เป็นต้น นอกจากนี้ยังช่วยลดความเสี่ยงของ มะเร็งในบริเวณช่องท้อง เช่น ตับอ่อน ลำไส้ใหญ่ ทวารหนัก รวมถึง มะเร็งที่มักพบในบริเวณเต้านม คอหอย ช่องปาก เป็นต้น

ระหว่างมะเขือเทศสดกับมะเขือเทศที่ผ่านกระบวนการปรุงอาหารแล้ว อย่างไหนดีกว่ากัน?
          ความเชื่อที่ว่าของสดดีกว่าของที่ปรุงแล้ว ไม่ได้เป็นจริงเสมอไป  ในกรณีของมะเขือเทศนั้นเป็นหนึ่งในข้อยกเว้น  เพราะมะเขือเทศเมื่อโดนความร้อนจะทำให้การยึดจับของไลโคปีนกับเนื้อเยื่อของมะเขือเทศอ่อนตัวลง ซึ่งส่งผลดีทำให้ไลโคปีนถูกร่างกายดูดซึมและนำไปใช้ได้ดีกว่า นอกจากนี้ความร้อนและกระบวนการต่างๆในการผลิตผลิตภัณฑ์มะเขือเทศยังทำให้ไลโคปีนเปลี่ยนรูปแบบ (จากไลโคปีนชนิด “ออลทรานส์”(all-trans-isomers)เป็นชนิด “ซิส”(cis -isomers)) คือ เป็นชนิดที่ละลายได้ดีขึ้นนั่นเอง

มะเขือเทศสดและผลิตภัณฑ์แปรรูปจากมะเขือเทศ ชนิดใดให้ไลโคปีนสูงกว่ากัน?
          โดยทั่วไป ปริมาณไลโคปีนมะเขือเทศสดกับผลิตภัณฑ์แปรรูปจะไม่แตกต่างกันมาก แต่เมื่อนำมะเขือเทศสดไปผ่านกระบวนการแปรรูปเป็นอาหารชนิดต่างๆ พบว่าปริมาณไลโคปีนกลับเพิ่มสูงขึ้นมาก เนื่องจากมีการผ่านกระบวนการความร้อนทำให้มีเข้มข้นขึ้น ดังนั้น อาหารอิตาเลียน จำพวกพิซซ่า สปาเก็ตตี้ ที่มีการแต่งรสด้วยซอสมะเขือเทศหรือผลิตภัณฑ์มะเขือเทศเข้มข้น (Tomato paste) ที่ผลิตจากมะเขือเทศ จึงเป็นแหล่งให้ไลโคปีนที่ดี

 ประโยชน์ของไลโคปีน

          1. ลดริ้วรอย ชะลอความแก่ได้ดี เพราะไลโคปีนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง จึงช่วยชะลอความหย่อนยานของผิวพรรณ ทำให้แลดูสุขภาพดี สดใส  เพระสารไลโคปีน มีคุณสมบัติต้านสารอนุมูลอิสระที่ดีชนิดหนึ่ง ที่ให้ผลดีกว่าเบต้าแคโรทีน (Beta Carotene) 
          2.ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของเซลล์ผิว
          3. ปกป้องผิวจากการถูกทำลายด้วยแสงแดด ทำให้ผิวทนต่อแสงแดดได้ดีมากขึ้น เพิ่มความทนต่อแสงแดดได้ดี ไม่ทำให้ผิวหมองคล้ำง่าย ช่วยให้ผิวแข็งแรงต่อสู้แสง UV จากแสงแดดได้ดี ทั้งนี้พบกว่าการรับประทานสารไลโคปีนอย่างน้อย 16 กรัมต่อวัน ติดต่อกันนาน 10 สัปดาห์ จะช่วยลดอาการเผาไหม้ของผิวหนังอันเกิดจากแสงแดดลง 40% ดังนั้นจึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่รับประทานอาหารเสริมให้ผิวขาว เพราะโดยปกติเมื่อทานอาหารเสริมให้ผิวขาว มักมีอาการข้างเคียงคือผิวจะไวต่อแสง ทำให้ผิวไหม้ และคล้ำแดดเร็ว การรับประทานสารไลโครปีนควบคู่ จึงช่วยลดอาการข้างเคียงเหล่านี้ได้
          4. ช่วยให้ผิวขาวใสอมชมพูมีเลือดฝาด ตึงเนียนเรียบ คล้ายกับผลมะเขือเทศสุกปรั่ง ด้วยคุณสมบัติของเบต้าแคโรทีนที่ช่วยลดการอุดตันและช่วยกระชับรูขุมขน  
          5. ลดอัตราการเกิดโรคมะเร็งปอด มะเร็งในช่องท้อง อาทิ มะเร็งตับ ลำไส้ กระเพาะอาหาร เป็นต้น และยังมีส่วนช่วยป้องกันการเกิดและช่วยชะลออาการมะเร็งต่อมลูกหมากในเพศชาย
          6.ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย (immune system)

ข้อพึงระวัง
- หากกำลังตั้งครรภ์, หรืออยู่ระหว่างการพยาบาลพิเศษ หรือการใช้ยาใด ๆ ภายใต้เงื่อนไขทางการแพทย์ ควรปรึกษาแพทย์ที่ให้การรักษาก่อนการใช้งาน.
- ควรหยุดใช้และปรึกษาแพทย์หากเกิดอาการไม่พึงประสงค์ใด ๆ เกิดขึ้น.
- เก็บให้พ้นมือเด็ก
- เก็บไว้ในอุณภูมิห้องปกติ 
- อย่าใช้หากพบความเสียหายแตกหักของภาชนะบรรจุ.

Lycopene, a naturally occurring carotenoid, possesses antioxidant properties which help neutralize harmful free radicals in cells, and play a role in maintaining good health.** Lycopene promotes prostate and heart health, and supports the immune system.** Adults can take one softgel daily with a meal.
No Artificial Color, Flavor or Sweetener, No Preservatives, No Sugar, No Starch, No Milk, No Lactose, No Gluten, No Wheat, No Yeast, No Fish, Sodium Free.